ทฤษฎีสมคบคิด พลวัต 2016
เมื่อวานนี้ ตลาดหุ้นไทยเป็นตลาดที่แข็งแกร่งที่สุดในเอเชีย 3 ตลาดเทียบเท่ากับ กัวลาลัมเปอร์ และ จาร์กาตา เพราะปิดตลาดในแดนบวก แถมยังไม่ผันผวนมากนักเมื่อเทียบกับตลาดรอบด้านที่ปิดร่วงแรงมาก โดยเพาะเซี่ยงไฮ้ ฮ่องกง และโตเกียว
วิษณุ โชลิตกุล
เมื่อวานนี้ ตลาดหุ้นไทยเป็นตลาดที่แข็งแกร่งที่สุดในเอเชีย 3 ตลาดเทียบเท่ากับ กัวลาลัมเปอร์ และ จาร์กาตา เพราะปิดตลาดในแดนบวก แถมยังไม่ผันผวนมากนักเมื่อเทียบกับตลาดรอบด้านที่ปิดร่วงแรงมาก โดยเพาะเซี่ยงไฮ้ ฮ่องกง และโตเกียว
ที่สำคัญ การปิดตลาดในแดนบวกของตลาดหุ้นทั้ง 3 แห่งของเอเชียนี้ เปิดทางให้กับบรรยากาศที่ดีขึ้นของการลงทุนในตลาดหุ้นยุโรป ที่เปิดตลาดในลบอย่าง แฟรงก์เฟิร์ต ลอนดอน หรือ ปารีส พากันมีแรงซื้อกลับเข้ามา จนมีโอกาสที่จะปิดตลาดในแดนบวก หลังจากที่ราคาน้ำมัน เริ่มกระเตื้องขึ้นมาในตอนค่ำของเวลาประเทศไทย และแนวโน้มของการที่ดัชนีล่วงหน้าในนิวยอร์กดูบวกกลับขึ้นมา หลังร่วงแรงเมื่อคืนวันจันทร์ตามราคาน้ำมัน
ถึงแม้ว่า ตลาดไทยยังดูแข็งแกร่งเมื่อวานนี้ นักวิเคราะห์ในสำนักโบรกเกอร์หลายแห่ง ก็ดูจะมีอาการถูกความกลัวครอบงำ ถึงขั้นแฮงก์โอเวอร์ เพราะหลังปิดตลาด บางสำนักออกมาระบุว่า การที่มูลค่าซื้อขายประจำวันหดหายเหลือเพียง 3 หมื่นล้านบาท ต่ำสุดในรอบเดือนมกราคมนี้ และยังมีแรงกดดันของราคาน้ำมัน ชะลอตัวเศรษฐกิจจีน และนโยบายทางการเงินธนาคารกลางสหรัฐที่จะประชุมประจำเดือนเมื่อคืนนี้เป็นวันแรก จะทำให้ไม่สามารถขึ้นไปได้ไกล และยืนไม่อยู่ แต่ในขณะเดียวกัน หากปรับลงก็คงมีแรงซื้อเข้ามาเก็งกำไรผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนที่กำลังเริ่มเทศกาลกันตามปกติ
บางสำนักมีคำอธิบายน่าหัวเราะจนขากรรไกรค้างว่า ที่ดัชนีตลาดหุ้นไทยปิดบวก เพราะในประเทศมีประเด็นการอัดฉีดเงินของรัฐบาลเรื่องกองทุนหมู่บ้านวงเงิน 3.5 หมื่นล้านบาท เข้ามาเป็นปัจจัยบวก
คำอธิบายอย่างนี้ เข้าข่ายทฤษฎีสมคบคิด หรือ Conspiracy Theory อย่างยิ่ง
ทฤษฎีที่ว่า เป็นคำนิยมในเชิงเหยียดหยาม ว่าหมายถึงการกระทำเออออห่อหมกโดยทึกทักเอาเอง ผ่านการสร้างเรื่องเล่า หรือบทความที่สร้างขึ้นมาจากจินตนาการเป็นสำคัญ ไม่ใช่จากข้อเท็จจริง โดยนำเอาเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นมาปะติดปะต่อเข้าด้วยกัน ซึ่งอาจมีวัตถุประสงค์ซ่อนเร้นอื่นๆ เพื่อให้ประโยชน์/ให้โทษต่อบุคคลหรือกลุ่มบุคคลหนึ่งใด หรืออธิบายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
ลักษณะของทฤษฎีสมคบคิดโดยทั่วไปจะมีข้อเท็จจริงประกอบอยู่เพียงเล็กน้อย หรือแค่ส่วนหนึ่ง เพียงเพื่อเสริมให้เกิดความน่าเชื่อถือในเรื่องที่เลื่อนลอย เพื่อให้เห็นว่า มีหลักฐานสนับสนุนที่ดูเหมือนเกี่ยวข้องกันเท่านั้น อาจมีเหตุผลสนับสนุนจากความเชื่อส่วนบุคคล ความเชื่อเกี่ยวกับทางศาสนาการเมือง หรือวัฒนธรรมที่แตกต่างไป
ผลพวงของทฤษฎีสมคบคิดซึ่งส่วนใหญ่ มักใช้ในการโฆษณา หรือชวนเชื่อทางการตลาด หรือการเมือง ซึ่งในทางวิชาการแล้วถือว่าไร้สาระ ไม่สามารถนำไปอ้างอิงใช้ได้
เหยื่อของทฤษฎีสมคบคิด หนีไม่พ้นคนที่ขาดวิจารณญาณหรือ ขาดความรู้ในการแยกแยะข้อเท็จออกจากข้อจริง
เหยื่อรายสำคัญของทฤษฎีสมคบคิดในตลาดหุ้นไทยยามนี้หนักหนาสาหัสกว่าใครคือ ราคาหุ้น JAS ที่นักวิเคราะห์เกือบหรือทุกสำนักพากันฟันธงกันอย่างเป็นเอกฉันท์ว่า เป็นหุ้นที่ไร้อนาคต เพราะยิ่งดันทุรังทำโครงการ 4G จะทำให้ฐานะการเงินของบริษัทเข้าขั้นย่ำแย่ เพราะถือเป็นทุกขลาภ
เรื่องนี้ นักวิเคราะห์อาจจะเชื่อว่าตนเองฉลาดกว่าคนอื่นๆ แต่โดยข้อเท็จจริง บริษัทนี้กลับมีตัวเลขทำกำไรต่อเนื่อง และนักลงทุนก็ยังคงเมินเฉยต่อนักวิเคราะห์อย่างชนิดไม่ไว้หน้ากันเลยทีเดียว
การที่หุ้น JAS บวกแรงว่านนี้ด้วยมูลค่าซื้อขายอันดับหนึ่งของตลาด ทำให้น่าตั้งคำถามว่า หากสิ่งที่นักวิเคราะห์พูดนั้นเป็นสัจธรรมที่ต้องเชื่อถือและเคารพ แล้วนักลงทุนที่ซื้อขายหุ้นJAS นั้นงี่เง่าและปัญญาเบา มองไม่เห็นหายนะอยู่ข้างหน้า แบบที่นักวิเคราะห์หยั่งรู้ไปแล้วเลยเชียวหรือ
คำถามว่า นักวิเคราะห์หรือนักลงทุนกันแน่ ที่ถูกครอบงำด้วยทฤษฎีสมคบคิดกันแน่ …เป็นความท้าทายที่ต้องการเวลาพิสูจน์นานพอสมควร
เช่นเดียวกัน โจทย์ที่ใหญ่กว่าเรื่องทิศทางของตลาดหุ้นไทย ตลาดหุ้นภูมิภาค หรือตลาดหุ้นทั่วโลก จะบ่ายหน้าไปทางไหน ยังเป็นปริศนาที่นักลงทุนทุกกลุ่มยังต้องถามไถ่ทุกสัปดาห์ และผู้คนพากันหลงลืมที่จะถามหา ปรากฏการณ์ แจนยัวรี่ เอฟเฟ็กต์ ที่หลายคนเอามาอ้างอิงโดยเจตนา
ทุกวันนี้ ราคาน้ำมันดิบที่แปรปรวนกับข่าวสารเพียงเล็กน้อยในลักษณะ “ผลสะเทือนผีเสื้อ”(ทำนอง เด็ดดอกไม้ สะเทือนถึงดวงดาว) ที่โผล่มาเป็นระยะ กับปัญหาเรื่องฟองสบู่ของราคาหุ้นในตลาดทั่วโลก ได้กลายเป็นปัจจัยที่เสริมส่งให้ทฤษฎีสมคบคิดถูกนำมาเสนอกันระลอกใหม่ที่ทำให้อารมณ์ของนักลงทุนหวั่นไหวมากยิ่งขึ้น ไม่ไยดีกับคำเตือนสติของนักเศรษฐศาสตร์การเงินทั้งหลายที่ระบุว่า ตลาดที่แปรปรวนนั้น ไม่สมเหตุสมผลเมื่อเทียบกับภาวะเศรษฐกิจโลกยามนี้ ที่ไม่มีเค้าลางของวิกฤตร้ายแรงแบบต้มยำกุ้ง หรือ อาร์เจนตินา หรือ ซับไพรม์ในสหรัฐฯเมื่อหลายปีก่อน
ยิ่งในกรณีของจีน ที่อัตราเติบโตจีดีพี ระดับ 6.8% ที่ถือว่าสูงสุดในโลกเทียบกับชาติมหาอำนาจทั้งหลาย ถือว่าห่างไกลจากความน่ากังวลหลายสิบเท่า แต่ทฤษฎีสมคบคิดยังทำงานปั่นป่วนตลาดเงิน ตลาดทุนอย่างต่อเนื่องได้ง่ายเกินคาด
บทบาทที่เพิ่มขึ้นของทฤษฎีสมคบคิด ท่ามกลางความแปรปรวนของตลาดรุนแรงยามนี้ ถือเป็นภาพสะท้อนความอ่อนไหวของจิตวิญญาณของนักลงทุนจำนวนมากอย่างมีนัยสำคัญ ใครจะบอกว่าไม่ควรใส่ใจ ก็ถือว่าดูเบาปัญหานี้เกินไป
ทำอย่างไร นักลงทุนส่วนใหญ่หรือทั้งหมดในตลาดเก็งกำไร ถึงจะมีสติปัญญาจนก้าวข้ามกับดักของทฤษฎีสมคบคิดที่แพร่กระจายไปทั่วอย่างไร เป็นโจทย์สำคัญเช่นกัน