พาราสาวะถี

เวลา 17.00 น. วันนี้ (6 กันยายน) แพทองธาร ชินวัตร จะนำ ครม.ชุดใหม่ทั้ง 35 คน เข้าเฝ้าฯ ถวายสัตย์ปฏิญาณก่อนรับตำแหน่ง


เวลา 17.00 น. วันนี้ (6 กันยายน) แพทองธาร ชินวัตร จะนำ ครม.ชุดใหม่ทั้ง 35 คน เข้าเฝ้าฯ ถวายสัตย์ปฏิญาณก่อนรับตำแหน่ง หลังจากนี้ก็จะเข้าสู่โหมดเตรียมความพร้อมเพื่อลุยงานกันอย่างเต็มที่ เริ่มต้นที่เรียกประชุม ครม.นัดพิเศษในวันรุ่งขึ้น ซึ่งเป็นวันเสาร์ที่ 7 กันยายน เพื่อพิจารณาร่างนโยบายของรัฐบาลซึ่งจะแถลงต่อที่ประชุมรัฐสภา หากไม่มีอะไรคลาดเคลื่อนก็คาดว่าน่าจะแถลงได้ภายในวันที่ 11 กันยายนนี้ ตามไทม์ไลน์ที่ได้วางไว้

อย่างไรก็ตาม หลังรับตำแหน่งและเข้าทำหน้าที่อย่างสมบูรณ์แล้ว ยังมีแรงเสียดทานอีกมหาศาลที่รอจะถาโถมเข้าใส่นายกรัฐมนตรีหญิงที่อายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์การเมืองไทย โดยเฉพาะประเด็นเรื่องร้องเรียนต่าง ๆ ถึงขนาดที่เจ้าตัวต้องขอร้องว่า บางครั้งเรื่องเล็ก ๆ อย่าให้ความสำคัญมากนัก คนฟ้องก็อย่าฟ้องเยอะเลย มันไม่ได้มีอะไรผิดแบบนั้นอยู่แล้ว ขอความเห็นใจได้ แต่พวกนักร้องไม่เคยฟัง ตะบี้ตะบันกันอย่างเดียว ยิ่งเป็นพวกที่จองล้างจองผลาญ ทักษิณ ชินวัตร และเครือข่าย

เวลานี้ที่สนุกปากของพวกวิจารณ์คงเป็นกรณีข้อกล่าวหาเชิงยัดเยียดว่า ครม.ชุดนี้เป็นรัฐบาลสืบสันดาน คงไล่มาตั้งแต่นายกฯ หญิง รวมไปถึง ซาบีดา ไทยเศรษฐ์ รัฐมนตรีช่วยมหาดไทยที่รับตำแหน่งมาจากบิดาในโควตาของพรรคภูมิใจไทย ประเด็นนี้แพทองธารถึงขั้นบอกว่า “เป็นคำที่แรงจริง ด้วย ใช้คำแรงจัง” ความจริงมีหลายรูปแบบ มีหลายคนที่ไม่ได้มาจากครอบครัว หรือเกี่ยวข้องกัน และมีหลายคู่ที่เป็นครอบครัว ความจริงอยากให้มองที่ความตั้งใจในการเข้ามาทำงานเพื่อบ้านเมืองมากกว่า

คงไม่ต้องร้องขอความเห็นใจใด ๆ จากพวกที่จ้องจะเล่นงาน เพราะคนเหล่านี้แท้จริงแล้วก็ไม่ใช่ดีเด่มาจากไหน หากจะวิจารณ์กันแบบนี้ ทำไมยุคของรัฐบาลเผด็จการสืบทอดอำนาจ จึงไม่พูดถึงการสืบสันดานกันทั้งตำแหน่งในฝ่ายบริหาร และฝ่ายนิติบัญญัติ ซึ่งน่าเกลียดจนถึงขั้นที่เรียกว่าทุเรศกว่านักการเมืองอาชีพที่ถูกคนพวกนั้นกล่าวหาเสียด้วยซ้ำไป เห็นกันชัดว่าระบอบคนดีย์นั้นแท้จริงแล้วก็เป็นพวกปากว่าตาขยิบ มิหนำซ้ำ ยังมีพฤติกรรมและการกระทำที่เลวร้ายกว่าฝ่ายการเมืองหลายเท่าตัว

ประเด็นข้อกล่าวหารัฐบาลอุ๊งอิ๊งเป็น ครม.สืบสันดานนั้น หากแยกเอาเฉพาะตัวของแพทองธาร ก็ต้องยอมรับกันว่า เมื่อเลือกเดินเข้าสู่ถนนสายการเมืองแล้ว ด้านหนึ่งคือการเสียสละความเป็นส่วนตัว และความสุขในครอบครัวมาเพื่อรับแรงกระแทกจากสังคม โดยเฉพาะพวกเห็นต่างอย่างช่วยไม่ได้ ส่วนอีกด้านหลีกหนีไม่พ้นต่อการที่จะถูกวิจารณ์ว่าเป็นการรับไม้ต่อ เป็นนอมินี หรือหุ่นเชิดให้ทักษิณผู้เป็นพ่อ ใช้เป็นตัวแทนในการขับเคลื่อนทางการเมืองเพื่อเล่นงานฝ่ายตรงข้าม

ไม่ว่าจะมองมุมไหน มันขึ้นอยู่กับคนหรือกลุ่มคนที่แสดงความเห็น เป็นธรรมดาเมื่อคนเป็นพ่อที่ได้ชื่อว่าเป็นนายกฯ ที่ได้รับความนิยมสูงสุดทางการเมืองของประเทศ และมีผลงานที่เคยเป็นที่ยอมรับในอดีต เมื่อลูกสาวขึ้นมาเป็นนายกฯ ย่อมหนีไม่พ้นที่จะต้องปรึกษา หรือขอคำแนะนำ ในฐานะพ่อลูกย่อมไม่ใช่เรื่องผิด ถ้าไม่ดัดจริตจะบอกว่า ต้องแยกแยะออกจากกันระหว่างบ้านเมืองกับเรื่องครอบครัว จำพวกตอแหลอาจจะแสดงละครตบตา หรือหาวาทกรรมมาเล่นลิ้นแบบนั้นได้

เมื่อความจริงมันเป็นแบบนี้ เป็นอย่างที่ทักษิณว่าใครจะไปร้องเรื่องครอบงำก็ให้ทำไป เพราะตนเป็นผู้ครอบครองแพทองธารในฐานะลูกสาว ซึ่งเอาเข้าจริงถ้ามองด้วยใจที่เป็นธรรม จะเห็นได้ว่านายกฯ หญิงคนที่สองของประเทศนั้น บทบาททางการเมือง ความคิด วิสัยทัศน์ ถือว่ามีความเป็นตัวเองสูงไม่น้อย หากเป็นเรื่องนโยบาย หรือประเด็นใดที่เตรียมการมาล่วงหน้าอาจมองได้ว่าได้รับการชี้นำมาจากผู้เป็นพ่อแล้ว แต่บนเวทีที่มีการซักถามกันแบบสด ๆ ที่ไม่ได้เตี๊ยมกัน จะเห็นได้ว่า ถ้าคนไม่ได้ลงมือศึกษา และทำงานด้วยตัวเอง ย่อมไม่สามารถที่จะตอบคำถามแบบลื่นไหลได้

เป็นการตอกกลับแบบนิ่ม ๆ สไตล์ผู้ดีที่แพทองธารชี้ว่า ข้อกล่าวหาเรื่อง ครม.สืบสันดาน สืบทอดตำแหน่งมาจากครอบครัวนั้น แท้จริงแล้วหลายอย่างในชีวิตที่ต้องทำ ต้องอาศัยแรงผลักดัน และความภูมิใจของคนรอบข้าง ครอบครัว ฉะนั้น คำว่าเป็นครอบครัวมันไม่ใช่ข้อเสีย มันเป็นแรงผลักดันให้กันมากกว่า น่าจะเป็นการสื่อเป็นนัยว่า ครอบครัวที่อบอุ่นย่อมมีการอุ้มชู เชิดชูให้คนในครอบครัวเติบโตอย่างมีคุณภาพ ไม่ใช่เที่ยวกล่าวหา ระรานคนไปทั่ว คนแบบนี้น่าจะสะท้อนภาพของครอบครัวได้ว่าอาจมีปัญหานั่นเอง

คงต้องดูอีกประการกับคำยืนยันของนายกฯ หญิงที่ว่า “ตนเป็นนายกฯ ที่ไม่พร้อมข่มเหงใคร” แต่พร้อมรับฟังและพร้อมให้ความเคารพและให้เกียรติกันและกัน โดยคิดว่าข้อวิจารณ์และข้อร้องเรียนต่าง ๆ จะไม่ทำให้เกิดการบั่นทอนการทำงานของตัวเอง ทุกคนมีสิทธิ์วิพากษ์วิจารณ์ ถ้าวิจารณ์ด้วยเหตุผล ไม่ใช่อารมณ์ คิดว่าน่าจะดี สามารถเกิดขึ้นได้ นี่ก็อาจจะเป็นการสรุปบทเรียนในอดีตของผู้เป็นบิดา ที่ตกอยู่ในภาวะเหลิงอำนาจ ไม่ฟังใคร สุดท้ายนำมาสู่หายนะจนต้องระหกระเหินในต่างแดนเกือบ 20 ปี

อย่างไรก็ตาม ประเด็นครอบงำใช่ว่านายใหญ่และเพื่อไทยจะไม่หวั่นไหว เห็นได้ว่า ตั้งแต่มีการไปยื่นร้องให้เอาผิดกรณีนี้ ทักษิณที่เดินทางเข้าตึกชินวัตร 3 เป็นประจำ ต้องใช้เส้นทางเข้าอาคารทางชั้นใต้ดิน ไม่เข้าด้านหน้าอาคารเหมือนที่ผ่านมา ทั้งที่ก่อนหน้านั้นจะมาอย่างเปิดเผย พร้อมให้สัมภาษณ์กับสื่ออย่างเป็นกันเอง คงต้องมีการยกการ์ดสูง เหมือนที่ ชูศักดิ์ ศิรินิล รัฐมนตรีสำนักนายกฯ ที่จะเข้ามาดูแลด้านกฎหมายให้รัฐบาลและแพทองธาร ย้ำว่า ทุกเรื่องที่มีการร้องต้องระมัดระวังเป็นอย่างมาก

แต่ให้ชั่งน้ำหนักระหว่าง ปมครอบงำกับจริยธรรมนั้น ชูศักดิ์ชี้ว่า เรื่องครอบงำไม่ใช่เพราะเป็นแค่การให้คำปรึกษา เป็นเสรีภาพที่ทำได้ ตนยืนยันในฐานะกรรมการบริหารพรรคเพื่อไทย เห็นว่าไม่ได้ครอบงำ และจะไม่ยอมให้ใครมาสั่งอย่างเด็ดขาด ส่วนปมจริยธรรมมีคณะทำงานเตรียมการเรื่องพวกนี้ไว้ทั้งหมด เพื่อเตรียมความพร้อมไม่ให้เกิดการฝ่าฝืนมาตรฐานทางจริยธรรม และกฎหมาย อีกทั้งอุ๊งอิ๊งก็เห็นประสบการณ์แล้วในอดีตที่มีการร้องกันไปมา ไม่ว่าจะป้องกันอย่างไร ท้ายที่สุดขึ้นอยู่กับฝ่ายที่ตีความ ดังนั้น เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาทางที่ดีที่สุดคือ ควรแก้รัฐธรรมนูญกำหนดเรื่องมาตรฐานจริยธรรมให้ชัดเจน

อรชุน

Back to top button