SET จะแกว่งตัว Sideway Up แต่ช่วงสั้น Upside เริ่มจำกัด

InnovestX มองว่าการลดดอกเบี้ย 50bps เหนือการคาดการณ์ของนักเศรษฐศาสตร์ รวมถึงปรับประมาณการการว่างงานขึ้นเล็กน้อย บ่งชี้ว่าการลดครั้งนี้ช้ากว่าที่ควร


InnovestX มองว่าการลดดอกเบี้ย 50bps เหนือการคาดการณ์ของนักเศรษฐศาสตร์นั้น รวมถึงปรับประมาณการการว่างงานขึ้นเล็กน้อยนั้น บ่งชี้ว่าการลดครั้งนี้ช้ากว่าที่ควร (behind the curve) เล็กน้อย จึงต้องลดแรงขึ้น เพื่อชดเชยกับการที่คงดอกเบี้ยไปเมื่อการประชุมเดือน ก.ค. อย่างไรก็ตาม ในอีกทางหนึ่งก็เป็นการส่งสัญญาณว่าพร้อมทําทุกวิถีทางเพื่อให้ตลาดแรงงานดีขึ้น และพร้อมที่จะใช้ทุกเครื่องมือที่จะรักษาการเติบโตให้สูงกว่าศักยภาพในระยะยาว ท่ามกลางเงินเฟ้อที่ลดลงอย่างช้า ๆ ซึ่งการที่ Fed มีช่องว่างเชิงนโยบาย (policy space) ที่ลดดอกเบี้ยได้มากจะทำให้ประคับประคองเศรษฐกิจสหรัฐฯ ให้ขยายตัวได้ต่อเนื่องในลักษณะ Soft-landing

ในส่วนของนโยบายการเงินโลก InnovestX เชื่อว่า กระแสการลดดอกเบี้ยของ Fed จะเป็นจุดเริ่มต้นทำให้ธนาคารกลางอื่น ๆ เริ่มลดดอกเบี้ยได้ โดยเฉพาะประเทศตลาดเกิดใหม่ โดยในปัจจุบัน ธ. กลางชั้นนำ ได้แก่ สหรัฐฯ อังกฤษ ยุโรป แคนาดา สวีเดน และสวิตเซอร์แลนด์ เริ่มลดดอกเบี้ยแล้ว ขณะที่ ธ. กลางในเอเชีย เช่น ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย รวมถึงจีน ก็เริ่มลดเช่นเดียวกัน ทำให้ InnovestX มองว่า ธปท. จะต้องส่งสัญญาณลดดอกเบี้ยในระยะต่อไป ท่ามกลางเศรษฐกิจในประเทศที่เปราะบาง สินเชื่อที่หดตัว และค่าเงินบาทที่แข็งค่าที่สุดในภูมิภาคในช่วงเดือนที่ผ่านมา

ส่วนตัวเลขเศรษฐกิจจีนในเดือน ส.ค. ที่ชะลอลงมากนั้น บ่งชี้ว่าภาคเศรษฐกิจกำลังได้รับผลกระทบจากมาตรการกระตุ้นของภาครัฐที่ผิดพลาด โดยมุ่งเน้นกระตุ้นภาคการผลิต แทนที่จะสนับสนุนภาคการใช้จ่าย ทำให้ความเสี่ยงที่เศรษฐกิจจะไม่ขยายตัวถึง 5% ในปีนี้มีมากขึ้น โดย InnovestX ได้ปรับประมาณการเศรษฐกิจจีนลงเหลือ 4.8% ในปีนี้ และ 4.5% ในปีหน้า

ขณะที่ตลาดหุ้นไทย InnovestX มองช่วงสั้นมอง SET จะเคลื่อนไหวในลักษณะ sideway up แต่ Upside เริ่มจำกัด โดยมีปัจจัยหนุนจากแนวโน้มดอกเบี้ยที่ปรับตัวลดลง บวกกับ นโยบายผลักดันแผนกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ รวมทั้งการแข็งค่าของเงินบาทระยะสั้น จะส่งผลดีต่อตลาดหุ้นไทยเมื่อเทียบกับภูมิภาค สะท้อนได้จาก Fund Flow ในเดือน ก.ย. ที่ต่างชาติพลิกซื้อสุทธิในตลาดหุ้นไทยแล้วกว่า 3 หมื่นลบ. ดังนั้นกลยุทธ์ลงทุนจึงแนะนำให้ Selective Buy” ใน 4 ธีมหลัก ดังนี้

  1. นักลงทุนที่ต้องการหุ้นเก็งกำไรซึ่งเทคนิคมีสัญญาณกลับตัว และ Valuation ยังไม่แพง โดยซื้อขายที่ PER และ PBV ต่ำกว่า -1SD แนะนำ AOT, CRC, AWC, BCH และ BEM
  2. นักลงทุนที่ต้องการหุ้นเก็งกำไรซึ่งได้อานิสงส์บวกจากสถานการณ์น้ำท่วม แนะนำ HMPRO, GLOBAL, CPALL, BJC DCC และ TASCO ซึ่งสถิติปี 2553-2566 (เฉพาะปีที่เกิดน้ำท่วมในภาวะ La Nina ดังที่เกิดในปีนี้ ยกเว้นปี 2563 ซึ่งตลาดหุ้นไทยผันผวนสูงจากวิกฤต COVID-19) พบว่าหากซื้อลงทุนช่วงครึ่งหลัง ก.ย. และขายต้น พ.ย. คาดหวังจะได้ผลตอบแทนเฉลี่ยราว 5.0%
  3. นักลงทุนที่ต้องการหุ้นเก็งกำไรซึ่งคาดได้อานิสงส์จากแนวโน้มดอกเบี้ยขาลง แนะนำ กลุ่มเช่าซื้อ (MTC) กลุ่มอสังหาฯ (AP) กลุ่มค้าปลีก (CPALL) กลุ่มโรงไฟฟ้า (GULF) กลุ่ม Reits (LHHOTEL, DIF)
  4. หุ้นที่คาดได้อานิสงส์จากกองทุนวายุภักษ์รอบใหม่ โดยเลือกหุ้น SET100 ที่มีคุณสมบัติ 1) จ่ายเงินปันผลดี โดยให้ Dividend Yield ขั้นต่ำปีละ 3.5% 2) มี ESG Rating สูงตั้งแต่ระดับ A-AAA และ CG ระดับ 5 ดาว และ 3) มีฐานะการเงินแข็งแกร่ง และผลประกอบการมีแนวโน้มเติบโตได้ในปี 2025 เลือก KTB, BBL, BCP, ADVANC, HMPRO

สุกิจ อุดมศิริกุล

FOMC Sep 2024 Econ Projection

Variable (%) 2024 2025 2026 Longer run
GDP

(Jun Proj.)

2.0 2.0 2.0 1.8
2.1 2.0 2.0 1.8
U-rate

(Jun Proj.)

4.4 4.4 4.3 4.2
4.0 4.2 4.1 4.2
Core PCE

(Jun Proj.)

2.6 2.2 2.0
2.8 2.3 2.0
Fed Funds

(Jun Proj.)

4.4 3.4 2.9 2.9
5.1 4.1 3.1 2.8

Sources : FED

Back to top button