พาราสาวะถี
กำลังดำเนินการสวนทางหรือเป็นการแก้เกมกันทางการเมืองหรือไม่ ไม่มีใครยืนยันได้ แต่บรรดานักร้องทั้งหลายยังคงคึกคักกับการไปยื่นเอาผิด แพทองธาร ชินวัตร
กำลังดำเนินการสวนทางหรือเป็นการแก้เกมกันทางการเมืองหรือไม่ ไม่มีใครยืนยันได้ แต่บรรดานักร้องทั้งหลายยังคงคึกคักกับการไปยื่นเอาผิดทั้งต่อตัว แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี พรรคเพื่อไทย รวมไปถึงพรรคร่วมรัฐบาล ล่าสุด ก็รุกไล่ไปถึงการเลือก สว.ที่เสร็จสิ้นไปแล้ว ไม่ว่าผู้ร้องจะไม่ซ้ำหน้ากัน แต่เป้าหมายนั้นชัดเจนคือ การล้มทั้งรัฐบาล สภาผู้แทนราษฎร วุฒิสภาที่ถูกมองว่าส่วนใหญ่เป็น สว.สายสีน้ำเงิน คงหนีไม่พ้นสืบค้นไปถึงเบื้องหลังองคาพยพนักร้องที่ใช้กระบวนการนิติสงครามรู้กันอยู่ว่าเป็นใคร
นั่นจึงทำให้พรรคแกนนำรัฐบาล จำเป็นต้องเร่งเดินหน้าแก้ไขรัฐธรรมนูญรายมาตรา รวมทั้งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญที่เกี่ยวข้อง เพื่อที่จะไม่ให้เกิดเหตุซ้ำรอย เศรษฐา ทวีสิน แม้พรรคร่วมอย่างประชาธิปัตย์และภูมิใจไทย จะแสดงตัวว่าไม่เห็นด้วย ทั้งหมดล้วนเป็นเพียงบทบาทที่ต้องแสดงเพื่อทำให้เห็นว่า ของร้อนแบบนี้ถ้าไปแตะหากมีปัญหาขึ้นมา หมายความว่าพรรคไม่ได้มีส่วนรู้เห็นเป็นใจตั้งแต่ต้น เป็นการวางทางหนีทีไล่ไว้ตามสไตล์นักการเมืองอาชีพนั่นเอง
คำถามสำคัญมาถึงตอนนี้ หากขบวนการนักร้องทำสำเร็จ สามารถใช้นิติสงครามเล่นงานอำนาจฝ่ายบริหารและนิติบัญญัติให้พังครืนลงมาได้ ประเทศชาติบ้านเมืองจะเดินกันต่อไปยังไง ต้องไม่ลืมว่าการฟาดงวงฟาดงาหนนี้ ไม่ใช่แค่จะพังเฉพาะอุ๊งอิ๊ง เพื่อไทย และ สว.เท่านั้น แต่ยังมีพรรคร่วมรัฐบาลทั้งหมดที่จะต้องถูกยุบตามไปด้วย นั่นหมายถึง มีความเสี่ยงที่จะทำให้เกิดภาวะสุญญากาศ อนาคตมีแค่ 2 ทางเลือกคือ เกิดรัฐบาลเฉพาะกิจที่เป็นนายกรัฐมนตรีพระราชทาน หรือ การรัฐประหาร
ไม่ว่าจะทางไหนไม่ได้เกิดผลดีต่อความเจริญก้าวหน้าของประเทศอย่างแน่นอน โดยเฉพาะการรัฐประหารที่ทุกครั้งจะมีเหตุผลว่า เพื่อนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงเกิดสิ่งที่ดีกว่า ซึ่งตลอดระยะเวลาภายใต้อำนาจเผด็จการ คสช.และรัฐบาลสืบทอดอำนาจก็เป็นหลักฐานเชิงประจักษ์แล้วว่า บ้านเมืองรุดหน้า เจริญรุ่งเรือง หรือล้าหลังตามไม่ทันเพื่อนบ้านไม่ว่าประเทศเหล่านั้นจะมีการปกครองแบบใดก็ตาม เหล่านี้คือความย่อยยับจากการมุ่งที่จะเอาชนะคะคานทางการเมือง หรือเพื่อผลประโยชน์ของตัวเองและพวกพ้อง
หนนี้คนจำนวนไม่น้อยได้แต่หวังว่า การที่ไม่มีม็อบมีเส้นเป็นตัวจุดชนวนเพื่อทำให้เกิดการล้มระบอบอุปโลกน์อย่างระบอบทักษิณ ไม่มีมือที่มองไม่เห็นคอยชี้นำ สั่งการเพื่อให้ทุกการกระทำของฝ่ายตรงข้ามกับฝ่ายบริหารประเทศประสบผลสำเร็จ จากกระบวนการตุลาการภิวัตน์ที่กลายเป็นตุลาการพิบัติ จนถึงนิติสงคราม ทำให้เห็นแล้วว่า ไม่ว่าใช้กำลังทางทหาร หรือการใช้กลไกทางกฎหมายที่ไม่ได้ยึดหลักนิติธรรม ย่อมนำมาซึ่งความย่อยยับของประเทศ สุดท้ายผู้ที่ได้รับผลกระทบเดือดร้อนเต็ม ๆ คือประชาชน
ความพยายามของมือกฎหมายในซีกเพื่อไทยที่ดำเนินการอยู่เวลานี้ หากมองในมุมของความหวังดี พักวางเรื่องประโยชน์ส่วนตัวหรือของพรรค ก็พอจะเข้าใจได้ว่า เป็นการปลดล็อกปมที่จะทำให้เกิดภาวะสุญญากาศหรือการตีความโดยกว้าง จนทำให้เกิดปัญหาต่อการเข้ามาบริหารประเทศของฝ่ายจัดตั้งรัฐบาล แต่เมื่อมองไปยังปมที่เป็นจุดอ่อน อันจะนำมาซึ่งการสั่นคลอนเสถียรภาพของรัฐบาล ก็ควรที่จะต้องดึงจังหวะไม่รีบร้อน แล้วไปเร่งแก้ไขรัฐธรรมนูญในภาพใหญ่ที่มีแนวร่วมมากกว่าให้สำเร็จจะดีกว่า
การใช้ช่องว่างทางกฎหมายทั้งที่รู้ว่าสุ่มเสี่ยงต่อปัญหาที่จะตามมานั้น มีตัวอย่างให้เห็นสด ๆ ร้อน ๆ สำหรับ ทักษิณ ชินวัตร และพรรคเพื่อไทย นั่นก็คือ ผลการเลือกตั้งนายก อบจ.ปทุมธานีรอบใหม่ที่เพิ่งจบไปเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา ชาญ พวงเพ็ชร ที่สวมสีเสื้อพรรคแกนนำรัฐบาล จากที่เคยเป็นผู้ชนะในครั้งแรกแต่ไปสะดุดตอคดีความที่อยู่ระหว่างดำเนินการในชั้นศาล กระทั่ง กกต.แจกใบเหลืองทำให้ต้องเลือกตั้งใหม่ พบกับความปราชัย พ่ายให้กับ “บิ๊กแจ๊ส”พลตำรวจโท คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง อย่างหมดรูป
เป็นที่สังเกตว่าการเลือกตั้งรอบนี้ ไม่มีแกนนำของพรรคไปช่วยหาเสียง และป้ายหาเสียงก็ไม่มีการบ่งบอกถึงความเป็นเพื่อไทย นั่นคือการถอยทางการเมืองที่ไม่ต้องเสียหน้า แต่ไม่รู้ว่าจะนำมาซึ่งความเสียหายหรือไม่ เพราะมีผู้ไปร้องต่อ กกต.ให้เอาผิดกรรมการบริหารพรรคและนำไปสู่การยุบพรรคจากการรับรองส่งลุงชาญลงสมัคร ทั้งที่รู้อยู่ว่ามีปัญหาคุณสมบัติ ตรงนี้ในทางกฎหมายทั่วไปพอเข้าใจได้ว่าเมื่อคดียังไม่ถึงที่สุดพรรคย่อมมีสิทธิ์ที่จะส่งลงสมัครได้ ทว่าในมิตินิติสงครามอะไรก็เกิดขึ้นได้ทั้งนั้น
การถูกรุมสหบาทาแม้จะไม่ตายคาเท้า ก็มีโอกาสที่จะได้รับบาดเจ็บมากน้อยแล้วแต่จุดที่จะโดนกระทืบ ที่แพทองธารและพวกพ้องโดนเล่นงานก็เช่นกัน ไม่มีใครคาดเดาได้ว่าจะมีเรื่องไหนทำให้ปลายทางต้องเกิดภาวะชะงักงันในทางการบริหารหรือไม่ นั่นก็อีกปัจจัยที่ทำให้รัฐบาลเร่งดำเนินการทันทีในกรณีการแจกเงินสด 1 หมื่นบาทให้กับกลุ่มเปราะบางและผู้พิการ เพราะอย่างน้อยก็ยังเป็นการประกาศว่าสิ่งที่เป็นนโยบายหลักของพรรคได้เริ่มทำไปแล้ว ไม่ว่าในอนาคตจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม
ความท้าทายในการแก้ปัญหาที่รอให้ลูกสาวคนเล็กของทักษิณมาสะสางนั้นมีอยู่ตลอดเวลา ล่าสุด เรื่องค่าแรง 400 บาททั่วประเทศ ซึ่งเคยปักธงไว้ในรัฐบาลเศรษฐาว่าจะเริ่มตั้งแต่ 1 ตุลาคมนี้ หลังการประชุมบอร์ดค่าจ้างชุดใหญ่เลื่อนแล้วเลื่อนอีก ทั้งจากผู้แทนฝ่ายนายจ้างไม่ว่างไม่ได้ร่วมประชุมพร้อมกันทั้งหมด พอเลื่อนประชุมใหม่ผู้แทนฝ่ายรัฐบาล ฝ่ายลูกจ้างก็มากันไม่ครบ สุดท้ายที่พีกสุดมาจบด้วยการยืนยันจาก ไพโรจน์ โชติกเสถียร ปลัดกระทรวงแรงงานบอกว่า มีผู้แทนจากธนาคารแห่งประเทศไทยได้ลาออกจากองค์กรไปแล้วต้องหามาทดแทนใหม่ ซึ่งต้องใช้เวลา
ที่ทำให้เห็นว่ากระบวนการทำงานของบอร์ดในแง่การประสานงานกับตัวแทนของแต่ละฝ่ายนั้นน่าจะมีปัญหาคือ กรณีตัวแทน ธปท.ที่มีการบอกว่าได้ลาออกจาก ธปท.ไปแล้ว มีการบอกว่าทาง ธปท.ไม่รับผิดชอบการกระทำของคนที่ลาออกจากการร่วมประชุมกับบอร์ดค่าจ้างก่อนหน้านี้ เช่นนี้จำเป็นต้องตรวจสอบผู้แทนจากทุกฝ่ายที่ทำหน้าที่อยู่หรือไม่ว่ายังมีสถานะที่ได้รับการรับรองถูกต้องตามกฎหมายอยู่หรือไม่ มิเช่นนั้น หากเดินหน้ากันใหม่ก็จะเป็นปัญหาอีก ถึงจะเป็นกระทรวงที่อยู่ในความดูแลของพรรคร่วม แต่ความรับผิดชอบนั้น ยังไงคนที่เป็นผู้นำรัฐบาลย่อมปฏิเสธไม่ได้
อรชุน