พาราสาวะถี

เมื่อเป็นการโยนหินถามทางย่อมเท่ากับมีโอกาสที่จะเปิดทางถอย จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่วันนี้ท่าทีของแกนนำพรรคเพื่อไทย จะพูดไปในทิศทางเดียวกันกับ แพทองธาร ชินวัตร


เมื่อเป็นการโยนหินถามทางย่อมเท่ากับมีโอกาสที่จะเปิดทางถอย จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่วันนี้ท่าทีของแกนนำพรรคเพื่อไทย จะพูดไปในทิศทางเดียวกันกับ แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าพรรคที่ว่า การเดินหน้าแก้ไขรัฐธรรมนูญรายมาตราปมมาตรฐานจริยธรรมเป็นเรื่องของสภาผู้แทนราษฎรที่จะไปว่ากัน ส่วนรัฐบาลขอโฟกัสที่การแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนจากสถานการณ์น้ำท่วม และการกระตุ้นเศรษฐกิจที่เป็นเรื่องเร่งด่วนมากกว่า

บอกไว้ตั้งแต่ต้นการแตะประเด็นร้อนที่เรียกแขก ย่อมหมายถึงการสั่นคลอนเสถียรภาพของรัฐบาลโดยไม่จำเป็น ทั้งที่มีเรื่องให้ทำหลายอย่างและล้วนแต่เป็นสิ่งที่ถ้าทำสำเร็จจะสร้างคะแนนนิยมให้ทั้งพรรคแกนนำและพรรคร่วมได้ทั้งนั้น อย่างไรก็ตาม การใส่เกียร์ถอยของเพื่อไทยนั้นไม่ใช่เป็นไปอย่างไร้เชิงเสียทีเดียว เพราะในการแถลงหลังการประชุม ครม.เมื่อวันอังคารนั้น มีประโยคเด็ดที่ทำให้พรรคร่วมต้องร้อนตัวรีบปฏิเสธกับนักข่าวทันควันเหมือนกัน

เพราะที่หัวหน้าพรรคเพื่อไทยเรียกร้องคือ ไม่อยากให้มีการยุแยงในเรื่องนี้ ทั้งที่การเสนอขอแก้ไขปมจริยธรรม พรรคแกนนำไม่ได้เป็นผู้จุดประเด็น แต่เป็นพรรคร่วม จึงไม่อยากให้เกิดการโหมกระแสจนทำให้บางพรรคต้องกลับลำ ทำให้ อนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทยที่ร่วมแถลงข่าวกับนายกฯ ด้วย ต้องรีบบอกกับนักข่าวทันควัน “ไม่ได้กลับลำ แต่ทำงานให้กับพี่น้องประชาชนก่อน” กรณีนี้ทำให้เห็นถึงเกมการเมืองว่าด้วยการเตะตัดขากันเองของพรรคร่วมรัฐบาลอยู่เหมือนกัน

รู้กันดีว่า การเหยียบตาปลากันระหว่างเพื่อไทยกับภูมิใจไทยนั้นมีมาตั้งแต่รัฐบาล เศรษฐา ทวีสิน ที่ต้องการให้นำกัญชากลับไปอยู่ในบัญชียาเสพติด ซึ่งขัดกับแนวทางของภูมิใจไทยที่ได้ดำเนินมาตั้งแต่ยุครัฐบาลเผด็จการสืบทอดอำนาจ จนสุดท้ายต้องมีบทสรุปที่การจะออกกฎหมายเพื่อควบคุมการใช้ เป็นการพบกันครึ่งทาง ไม่ว่าจะขบเหลี่ยมกันยังไง ด้วยความจำเป็นทางการเมือง และผลประโยชน์ที่สำคัญกว่า ทั้งสองพรรคจึงไม่มีโอกาสที่จะแตกหักกัน

เห็นได้จากปฏิญญาเขาใหญ่ ที่นำมาสู่การโหวตเลือกแพทองธารเป็นนายกฯ เป็นไปด้วยความเรียบร้อย เกิดรัฐบาลที่สองพรรคการเมืองอย่างพลังประชารัฐกับประชาธิปัตย์  อยู่ในสถานะครึ่งบกครึ่งน้ำ คือส่วนใหญ่เป็นฝ่ายรัฐบาล ส่วนน้อยทำหน้าที่ฝ่ายค้าน ไม่ว่าการเมืองจะดำเนินไปในลักษณะแบบไหน ภาระอันหนักอึ้งที่ลูกสาวคนเล็กของ ทักษิณ ชินวัตร จะต้องนำรัฐบาลนี้ผ่านไปให้ได้ ไม่ใช่การสร้างผลงานเป็นที่ประจักษ์ แต่จะฝ่าด่านนิติสงครามไปได้อย่างไร

ปมล่าสุดที่มีการยื่นร้องเรื่องรัฐบาลแถลงนโยบายต่อรัฐสภาไม่ครบ ส่อขัดต่อรัฐธรรมนูญมาตรา 162 เพราะไม่ได้แถลงว่าจะนำรายได้จากไหนมาใช้จ่าย และขอให้ศาลรัฐธรรมนูญถอดถอนคณะรัฐมนตรีทั้ง 35 คนออกจากตำแหน่ง แม้ว่าอุ๊งอิ๊งจะยืนยันทุกอย่างทำตามกฎหมาย พร้อมบอกว่า “มีใครไม่กลัวกฎหมายบ้าง” แต่นั่นไม่ใช่หนทางที่จะการันตีว่าเมื่อเรื่องนี้เข้าสู่กระบวนการตรวจสอบเพื่อนำไปสู่การวินิจฉัยแล้วรัฐบาลจะรอด อาจจะต้องมีการขอเปิดประชุมรัฐสภาเพื่อแถลงนโยบายรัฐบาลเพิ่มเติมอีกรอบ

ดูเหมือนจะเป็นการเสียหน้า แต่เพื่อความปลอดภัยในการทำหน้าที่จึงเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ขณะเดียวกัน มีข่าวเล็ดลอดมาว่านายใหญ่เริ่มที่จะขยับหามือกฎหมายที่สามารถต่อกรกับนิติสงครามได้ โดยจะให้มาทำงานเบื้องหลัง ค่าตอบแทนเท่าไหร่ก็พร้อมยอมจ่าย เวลานี้กำลังใช้คอนเนคชั่นที่มี ซึ่งจะว่าไปสายสัมพันธ์ที่มีต่อกันมาในอดีตคงไม่ใช่เรื่องยากที่จะได้มือดีเข้ามาทำงาน แม้จะมีแบ็คอัพที่เสริมสร้างความแข็งแกร่งให้รัฐบาลลูกสาวได้ แต่รอบคอบ รัดกุมในเรื่องที่ถูกรุมสหบาทาไว้น่าจะเป็นการป้องกันอีกชั้นที่ดีที่สุด

ต้องยอมรับความจริงกันว่าผลพวงจากเศรษฐากระเด็นตกเก้าอี้นายกฯ ทำให้เพื่อไทยต้องสแกนผู้ที่จะมาดำรงตำแหน่งทางการเมืองละเอียดยิบ เหมือนกรณีการแต่งตั้งข้าราชการการเมือง ที่โดยปกติหลังจากที่ ครม.ปฏิบัติหน้าที่ได้แล้ว ในการประชุมครั้งแรกส่วนใหญ่จะเป็นการพิจารณาอนุมัติแต่งตั้งตำแหน่งดังกล่าว แต่หนนี้มีคำสั่งจากตัวผู้นำเองให้เข้มงวดแม้จะล่าช้ากว่าที่ควรจะเป็น เพื่อที่จะได้ไม่ทำให้เกิดปัญหา เป็นอุบัติเหตุทางการเมืองในภายหลัง

ที่ผ่านมาการแต่งตั้งข้าราชการการเมืองนั้น จะมีแค่รัฐมนตรีส่งรายชื่อและเอกสารการศึกษาต่าง ๆ ให้ที่ประชุม ครม.พิจารณากลั่นกรอง แต่ครั้งนี้ นายกฯ ขอให้รัฐมนตรีต้นสังกัดนำประเด็นคุณสมบัติไปพิจารณาอย่างถี่ถ้วนด้วย รวมไปถึงการขอความเห็นจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จำนวน 14 หน่วยงาน เช่น สำนักงานตำรวจแห่งชาติ สำนักงาน ป.ป.ช. คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด หรือ ป.ป.ส. ขนาดทำกันถึงขนาดนี้ ยังจะเห็นได้ว่าบรรดานักร้องก็เดินหน้ายื่นเอาผิดกันอุตลุดชนิดที่ไม่เคยพบเคยเห็นกันมาก่อน

การถอนสมอแก้รัฐธรรมนูญ แล้วหันหัวเรือไปเน้นการแก้ปัญหาความเดือดร้อนของประชาชน กรณีน้ำท่วมถือเป็นภัยธรรมชาติที่นอกเหนือจากมาตรการความช่วยเหลือต่าง ๆ ที่มีอยู่แล้ว เป็นเรื่องที่แพทองธารจะต้องแสดงศักยภาพ และโชว์ความสามารถในการคิด สั่งการอย่างเด็ดขาดในแง่ของการเยียวยาที่จะต้องทำให้เกินกรอบที่ราชการกำหนด เพราะความเสียหายจริงกับสิ่งที่ประเมินมักจะสวนทางกัน แทนที่จะทำให้ผู้ได้รับผลกระทบรู้สึกดี กลับเป็นไปในทำนองทุกข์หนักยิ่งขึ้น นี่คือโจทย์ที่ต้องทำให้ได้

คิกออฟไปแล้วกับการแจกเงินสด 1 หมื่นบาทให้กับกลุ่มเปราะบางและผู้พิการ 14.55 ล้านคน โดยแบ่งเป็นผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ 12.40 ล้านคน และกลุ่มคนพิการ 2.15 ล้านคน ทุกคนจะได้รับเงินผ่านบัญชีพร้อมเพย์ของผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ และผ่านช่องทางการรับเบี้ยเดิมของผู้พิการ สร้างความคึกคักขึ้นมาทันตาเห็น ส่วนจะเป็นพายุหมุนทางเศรษฐกิจได้หรือไม่ยังต้องรอกระบวนการหลังจากนี้ เบื้องต้นรัฐบาลได้คะแนนนิยม และเสียงเยินยอขึ้นมาทันตาเห็นแน่ แต่ยังมีอีกสองกลุ่มคือที่ลงทะเบียนไว้แล้วและผู้ไม่มีสมาร์ทโฟน ตรงนี้รัฐบาลต้องมีคำตอบให้ชัดเจนด้วย ยึกยัก ลากยาวไปเรื่อยไม่น่าจะเป็นผลดีเท่าไหร่

อรชุน

Back to top button