พาราสาวะถี

เผลอแป๊บเดียว เข้าสู่ไตรมาสสุดท้ายของปีแล้ว จบการจ่ายเงินรอบแรกไปเป็นที่เรียบร้อย สำหรับการแจกเงินหมื่นบาทให้กับกลุ่มเปราะบางและผู้พิการ


เผลอแป๊บเดียว เข้าสู่ไตรมาสสุดท้ายของปีแล้ว จบการจ่ายเงินรอบแรกไปเป็นที่เรียบร้อย สำหรับการแจกเงินหมื่นบาทให้กับกลุ่มเปราะบางและผู้พิการ ใครที่พลาดก็รีบไปแก้ไขเพื่อให้ทันการโอนเงินครั้งต่อไป โดยกระทรวงการคลังจะโอนเงินให้กลุ่มเป้าหมายหลังจากนี้อีก 3 หนคือ 22 ตุลาคม 22 พฤศจิกายน และ 22 ธันวาคม หลังจากนั้นใครที่ไม่ได้รับถือว่าสละสิทธิ์ไม่ประสงค์ที่จะรับเงินจำนวนดังกล่าว กระบวนการทั้งหลาย ภาครัฐและสื่อต่าง ๆ ได้นำเสนอกันไปหมดแล้ว

อาจจะด้วยผลพวงของการจ่ายเงินดังกล่าวหรือไม่ไม่รู้ ที่ทำให้การสำรวจคะแนนนิยมสำหรับคนที่เหมาะจะเป็นนายกรัฐมนตรีช่วงนี้ แพทองธาร ชินวัตร จึงขึ้นอันดับหนึ่งไม่ว่าจะจากไลน์โพล หรือนิด้าโพล หรืออีกด้านเป็นการสะท้อนว่า คู่แข่งสำคัญอย่างพรรคประชาชน ชื่อชั้นของคนที่มาเป็นผู้นำยังไม่เป็นที่ยอมรับในวงกว้างเทียบกันระหว่าง ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ กับ พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ต้องยอมรับกันว่ากระดูกคนละเบอร์ ความชมชอบของกองเชียร์ต่างกันลิบลับ

บอกไว้ตั้งแต่ก่อนยุบพรรคก้าวไกล การขายภาพของคนรุ่นใหม่ไม่ได้หมายความว่าเอาใครก็ได้มาเป็นแกนหลัก ภาพจำของประชาชนคนจะไปเลือกตั้งไม่ได้มองแค่ว่าขอให้เป็นพรรคนี้ ส่งใครมาก็จะเลือก จริงอยู่ที่ว่ากระแสพรรคดี แต่ต้องไม่ลืมว่าก่อนและระหว่างเลือกตั้งเมื่อปี 2566 คนส่วนใหญ่ต่างเบื่อหน่ายกับเผด็จการสืบทอดอำนาจ ประกอบกับการถูกไอโอที่คาดไม่ถึงทำลายทำให้พรรคเพื่อไทยไปไม่ถึงเป้าหมายแลนด์สไลด์ และกลายเป็นพรรคอันดับสองจากผลการเลือกตั้ง

หลังจากที่พลิกขั้วก้าวสู่อำนาจบริหารได้ ภายใต้การนำของ เศรษฐา ทวีสิน ได้โชว์ความขยัน ปูทางไว้ให้คนมารับไม้ต่อก่อนจะถูกนิติสงครามเขี่ยพ้นเก้าอี้ การเข้ามาของแพทองธารแม้จะมีภาพผู้เป็นพ่อ ทักษิณ ชินวัตร เป็นเงาทะมึนยืนอยู่เบื้องหลัง แต่ก็มีภาพของคนรุ่นใหม่ กล้าที่จะตัดสินใจ การดำเนินงานทางการเมืองก็แสดงให้เห็นแล้วว่า มีความเป็นตัวของตัวเองอยู่ไม่น้อย พอตัดประเด็นแก้รัฐธรรมนูญเพื่อประโยชน์นักเลือกตั้งและพรรคการเมือง แล้วเดินหน้าทำงานย่อมทำให้คนเกิดความหวัง

ต้องอย่าลืมว่าประเด็นไหนที่อ่อนไหว ส่อสะท้อนให้เห็นจะนำไปสู่ความขัดแย้ง ก้าวลงหุบเหวของหายนะ คนส่วนใหญ่ย่อมไม่อยากเล่นด้วย ระบอบอุปโลกน์ที่ถูกปลุกขึ้นมาเพื่อทำลายอีกฝ่ายให้เสียหาย กระบวนการปฏิรูปกำมะลอที่ยกมาอ้างเพื่อเข้าทำให้การใช้อำนาจเผด็จการเข้าสู่อำนาจบริหารประเทศสวยหรู ทั้งหมดคือบทเรียน โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับพวกที่ไปร่วมหัวจมท้าย หลังจากวันเวลาผ่านไป จากที่เคยสะใจ กลายเป็นผู้ได้รับผลกระทบโดยตรง

ปัญหาปากท้อง ภาวะเศรษฐกิจที่อ้างว่าบ้านเมืองสงบแต่ทุกอย่างกลับสงัดตาม การเจริญเติบโตต่ำเตี้ยตามหลังบรรดาประเทศเพื่อนบ้านในย่านเดียวกัน ดังนั้น การมีรัฐบาลที่เข้มแข็ง มีแนวทางที่จะทำให้ประชาชนลืมตาอ้าปากได้ เมื่อเทียบกับแนวทางการเมืองที่สุดโต่ง หรือความเคลื่อนไหวของขี้ข้าเผด็จการตกยุค จ้องจะล้มรัฐบาลจากการเลือกตั้งให้ได้ ล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งน่ารังเกียจ และคนส่วนใหญ่ไม่ต้องการให้เป็นเช่นนั้น

จึงขึ้นอยู่กับแพทองธารในฐานะผู้นำรัฐนาวา จะฉกฉวยโอกาสที่ได้รับในครั้งนี้ไปสร้างมูลค่าได้ขนาดไหน นายใหญ่ผู้มีอำนาจในรัฐบาลและพรรคแกนนำ ย่อมรู้ดีว่า สิ่งไหนควรถอย เรื่องใดต้องเดินหน้า ปัญหาการเมืองที่ถูกจุดพลุอยู่เวลานี้กรณี สว.จ้องที่จะแก้ร่างกฎหมายประชามติกลับไปใช้เสียงข้างมากสองชั้น ย่อมไม่ใช่เรื่องเร่งด่วน และจำเป็นที่จะต้องลงไปคลุกฝุ่นด้วย บางทีอาจเป็นเพียงแค่การเคาะกะลา หยั่งท่าที ดูความจริงใจในการที่จะทำงานร่วมกันแบบยาว ๆ ในอนาคต

ส่วนที่มีการตีว่าการขยับแบบนี้ของ สว.เป็นเพราะบางคน บางพวกไม่ต้องการให้เกิดการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ทำให้เสียประโยชน์ทางการเมืองนั้น ก็ต้องไปคำนวณดูว่าอย่างไหนจะคุ้มค่ากว่ากัน เนื่องจากโจทย์ใหญ่ไม่ว่าจะเลือกตั้งปี 2570 หรือหลังจากนั้น ไม่ใช่เรื่องพรรคใดพรรคหนึ่งจะได้ประโยชน์ แต่ต้องสกัดหรือจำกัดไม่ให้พรรคการเมืองสุดโต่งได้เสียงข้างมากจนสามารถจัดตั้งรัฐบาลพรรคเดียวได้ เมื่อเข้าใจกันตามนี้ ที่ว่าจะขัดคอ ขัดแย้งกันเองย่อมไม่เกิดขึ้น

กรณีบรรดานักร้องทั้งหลายแห่แหนเล่นงานแพทองธาร รัฐบาลและพรรคร่วมรัฐบาลนั้น ฟังจาก แสวง บุญมี เลขาธิการ กกต. น่าจะเป็นแนวทางหรือทำให้องค์กรอื่นที่ได้รับเรื่องร้องเรียนได้พิจารณาไปในทิศทางเดียวกัน กล่าวคือ ประเด็นที่นักร้องขึงขัง ให้ข่าวกล่าวหาใหญ่โต เอาเข้าจริงหน่วยงานที่รับเรื่องเมื่อตรวจสอบแล้วกลับพบว่า ไม่มีข้อเท็จจริงอะไรเลย เป็นการตั้งคำถามในลักษณะข้อสังเกตถามไปยังองค์กรที่ยื่นร้องว่า ใช่หรือไม่

โดยเลขาฯ กกต.ชี้ว่า คำร้องต้องบอกว่าฝ่ายที่ถูกกล่าวหาทำผิดอะไรมา ผิดมาตราไหน มีข้อเท็จจริงมายืนยัน ไม่ใช่มาตั้งคำถามมาถาม กกต.ว่าแบบไหน ใช่หรือไม่ เหมือนเอาคำจากหนังสือพิมพ์มาถาม เข้าใจได้ว่าทั้ง กกต. หรือองค์กรที่เกี่ยวกับตรวจสอบเอาผิดในเรื่องต่าง ๆ ต้องการให้โอกาสประชาชนในการเข้าไปมีส่วนร่วมทางการเมือง โดยการร้องเรียนเรื่องไม่ชอบมาพากลต่าง ๆ แต่การร้องต้องประกอบด้วยมีชื่อผู้ร้อง การกล่าวหา ฐานความผิด และข้อเท็จจริง เมื่อไม่เข้าองค์ประกอบย่อมมีการยกคำร้องเป็นธรรมดา อยู่แค่ว่าจะปรากฏผลช้าหรือเร็วเท่านั้นเอง 

เป็นอันว่าไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงเรื่องที่ สว.แก้ไขร่างกฎหมายประชามติให้กลับไปใช้เสียงข้างมากสองชั้น หลังจากที่ประชุมวานนี้ (30 ก.ย.) มีมติ 167 เสียงให้แก้ไขตามที่คณะกรรมาธิการวิสามัญฯ เสนอ หลังจากนี้ก็จะมีการส่งร่างกลับไปยังสภาผู้แทนราษฎรว่าเห็นด้วยหรือไม่ ถ้าเห็นต่างก็ตั้งกรรมาธิการร่วม ทำให้กระบวนการแก้ไขรัฐธรรมนูญล่าช้าออกไปแน่นอน ส่วนคำถามที่ว่ามีใบสั่งหรือไม่ ถ้าถามหาหลักฐานก็ยากที่จะมายืนยัน แต่ในความรับรู้ของคนส่วนใหญ่รู้กันอยู่แล้วว่า เบื้องลึกเบื้องหลังของ สว.ชุดนี้เป็นอย่างไร

อรชุน

Back to top button