“กรุงศรี” แนะเก็บหุ้น รับบาทแข็ง-เก็งงบ Q4 สดใส! ชู GULF-ADVANC-KTB

บล.กรุงศรี ประเมิน SET ปี 67 ทดสอบ 1,540 จุด รับเศรษฐกิจไทยกำลังจะเร่งขึ้น จากกระแส Data Center และเม็ดเงินลงทุนกองทุนวายุภักษ์-ThaiESG พร้อมแนะกลยุทธ์ลงทุน 10 หุ้นผลงานไตรมาส 4/67 โตแกร่ง-บาทแข็ง คือ AOT-GULF-GPSC-MTC-CPALL-BJC-BDMS-KTB-ADVANC-HMPRO


บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) ระบุในบทวิเคราะห์วันนี้ (1 ต.ค.67) ว่าเข้าสู่วงจรดอกเบี้ยขาลง ในขณะที่ US Soft Landing หนุนภาวะ “Search for Yield” สำหรับภาพการลงทุนไตรมาส 4/2567 ต่อเนื่องต้นปี 2568 โดย KSS ยังมีมุมมองเชิงบวกต่อสินทรัพย์ต่างๆ นำโดย Global Bonds ที่จะได้อานิสงส์จากวงจรดอกเบี้ยโลกที่เข้าสู่ขาลงทั้งโลก ยกเว้นญี่ปุ่นที่ต้องขึ้นดอกเบี้ยจากวงจรเงินเฟ้อเร่งขึ้นสวนทางประเทศอื่นๆ โดยการเริ่มปรับลดดอกเบี้ย 50% ในเดือนกันยายน 2567 และคาดการณ์จะลดต่ออีก 2 ครั้งปีนี้ และ 4 ครั้งในปี 68 ครั้งละ 25% เป็นตัวบ่งชี้ดอกเบี้ยขาลงของโลก คาดการณ์ว่าจะนามาด้วยที่ธนาคารกลางอื่นๆ ทยอยปรับลดลงตาม ส่วนฝั่งสินทรัพย์เสี่ยง ตลาดหุ้นยังอยู่ในวงจรที่ลงทุนได้ แต่ต้องเลือกเป็นรายตลาด

โดยมีการเติบโตเศรษฐกิจสหรัฐฯ เป็นปัจจัยกำหนดทิศทาง คือ เศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังอยู่ในการประคองเป็น Soft Landing ได้ในช่วงไตรมาส 4/67 ถึงต้นปี 68 แม้ภาคแรงงานจะเริ่มมีความเปราะบางมากขึ้น อัตราว่างงานที่อยู่ในระดับ 4.2-4.3% จะทำให้ตามกฎ Sahm’s Rule จะแตะระดับ 0.5% ที่เป็นจุดบ่งชี้ความเสี่ยงเศรษฐกิจจะถดถอยในอดีตที่ดี แต่ตลาดแรงงานปัจจุบันมีความต่างจากอดีต อัตราการว่างงานที่ 4.2% ยังต่ำกว่าภาวะปกติ และ Sahm’s Rule ที่ 0.5% อดีตอัตราการว่างงานจะสูงเฉลี่ยเกิน 6%

ขณะเดียวกันภาคบริการ (65-70% ของ GDP) ซึ่ง PMI ขยายตัวต่อเนื่อง 20 เดือนติด ค่าจ้างแรงงานที่แท้จริงเป็นบวก และยอดค้าปลีกยังขยายตัวดี ปัจจัยดังกล่าวเป็นดัชนีสำคัญชี้นำเศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังขยายตัวได้ หนุนภาวะ “Search for Yield”

โดย Dollar Index อ่อนค่า อัตราผลตอบแทนพันธบัตรลดลง ผสานความไม่แน่นอนด้านนโยบายสหรัฐฯ จากการเลือกตั้ง หนุนกลุ่มประเทศที่เสี่ยงด้านนโยบายจากัดกว่า คาดการณ์ไตรมาส 4/2567 TIPS > Ems > DMs และ อาเซียน คือ “Sweet Spot”

ทั้งนี้คาดการณ์ในช่วงในไตรมาส 4/2567 อาเซียน คือ “Sweet Spot” เศรษฐกิจปลายปี 2567 และปี 2568 มีทิศทางเชิงบวก จากการบริโภคภายในการใช้นโยบายการคลังที่เหมาะสม และวงจรการส่งออกฟื้น หนุนเศรษฐกิจเร่งตัว TIPs > Ems > DMs ขณะที่เศรษฐกิจสหรัฐฯ และเอเชียเหนือชะลอลง

โดย Consensus คาดการณ์ GDP สหรัฐฯ งวดครึ่งหลังของปี 2567 จะอ่อนลงจากช่วงครึ่งแรกปี 2567 ที่ขยายตัว 2.9% และทั้งปีเติบโต 2.5% ขณะที่ความไม่แน่นอนจากการเลือกตั้ง ปธน. จากโยบายที่ไม่แน่นอนทั้งในส่วน Trade War, Tech War โดย Repulican เข้มงวดกว่า Democrat จะสร้างความเสี่ยงต่อเศรษฐกิจในเอเชียเหนือที่ฐานรายได้ของบริษัทพึ่งพาสหรัฐฯ และจีนสูงกว่าฝั่งเอเชียใต้และอาเซียน (บริษัทใหญ่ๆ พึ่งพารายได้จีนและสหรัฐอเมริกาต่ำกว่า 10% ของรายได้) ทำให้การลงทุนในภูมิภาคนี้ ดูเป็นจุดที่ปลอดภัยกว่าในเชิงกลยุทธ์ โดยเฉพาะอาเซียนที่ GDP ปี 2568 จะเร่งขึ้นจากปี 2567 ราว 0 – 0.5% ผสาน Valuation PER ของอาเซียนยังต่ำกว่าค่าเฉลี่ยราว 1 เท่า- 3 เท่า จะหนุนกระแสเงินทุนไหลเข้า

โดยกำหนดดัชนีเป้าหมายปี 2567 คงที่ระดับ 1,540 จุด และในปี 2568 อยู่ที่ระดับ 1,730 จุด โดยใช้สมมติฐานกำไรตลาดปี 2567 อยู่ที่ 90 และ 100 บาท คิดเป็น Equity Risk Premium 3.3%-3.23% แรงขับเคลื่อนสำคัญ คือ เศรษฐกิจไทยกำลังจะเร่งขึ้นจากฐานช่วงครึ่งแรกของปี 2567 อยู่ที่ 1.9% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน เป็นขั้นบันไดไปถึงปี 2568 ที่น่าจะเติบโตเกิน 3% จากงบประมาณรัฐฯ ที่จะกลับมาเป็นแรงส่งครั้งแรกในรอบ 6 ไตรมาส ผสานภาคบริการ-การท่องเที่ยวที่ยังขยายตัวดีและมีโครงการ Soft Power และEntertainment Complex ช่วยยกระดับภาคบริการในระยะกลาง-ยาว

อีกทั้งสัญญาณการเร่งปฏิรูปราคาพลังงาน น่าจะสะท้อนการเตรียมเร่งกระแสการลงทุน Data Center ที่กำลังยกระดับพร้อมกันทั้งภูมิภาคอาเซียนรวมถึงไทยที่มีจุดเด่นพื้นที่, โครงสร้างพื้นฐาน (ไฟฟ้า+โทรคมนาคม) ที่มีความพร้อม จะหนุนความเชื่อมั่นเศรษฐกิจระยะกลางยาว มีโอกาสก้าวสู่ศูนย์กลาง Infrastructure Tech ผสานการกลับมาของเม็ดเงินลงทุนภายในครั้งใหม่จากกองทุนวายุภักษ์และ ThaiESG ที่เข้ามาปลายปี 1.7-1.8 แสนล้านบาท และต่อเนื่องอีกอย่างน้อย 5 ปี จะหนุนภาพการลงทุนภายในตอนนี้ อาจเป็นรอบที่ดีที่สุดในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา และวงจรการเพิ่มน้ำหนักดัชนีสำคัญๆ เช่น MSCI FTSE จะเริ่มต้นขึ้นในไตรมาส 4/2567

ดังนั้น แนะนำถือน้ำหนักหุ้นไทย 70% , หุ้นต่างประเทศลดลงเหลือ 10% พันธบัตร 20% ดังนั้นประเมินไตรมาส 4/2567 คาดการณ์จะเห็น SET จะแกว่งขึ้นที่กรอบแนวรับ 1,440-1,400 จุด แนวต้าน 1,540-1,580 จุด

สำหรับกลยุทธ์การลงทุน : แนะนำให้ Overweight หุ้นในธีมหลัก คือ หุ้นได้ประโยชน์จาก 1) Rate Cut Cycle (กลุ่มที่ได้ประโยชน์จากเงินบาทแข็งค่า, ต้นทุนทางการเงินลดลง, กลุ่มภาระหนี้สูง)

2) นโยบายสนับสนุนภาครัฐใหม่ (โครงการดิจิทัลวอลเล็ต, ศูนย์รวมความบันเทิง และโครงสร้างพื้นฐานเทคโนโลยี)

3) ผลตอบแทนของกองทุนระยะยาวในประเทศ เน้นหุ้นเติบโตดี, Valuation อยู่ในโซนลงทุน, Yield สูงกว่าผลตอบแทนขั้นต่า 3% รวมถึงกลุ่มที่อยู่ในดัชนี ThaiESG และยังมีน้าหนักในกองทุนวายุภักษ์เดิมต่า

4) Tradewars mitigation

โดยมีหุ้นเด่น 4Q24F ได้แก่ AOT, GULF, GPSC, MTC, CPALL, BJC, BDMS, KTB , ADVANC, HMPRO

ส่วน Mid-Small Cap Play ได้แก่ BTS, MALEE, MOSHI, CHG, ERW, BA

1) Rate Cut Cycle Plays วงจรดอกเบี้ยโลกที่ในกลุ่มประเทศพัฒนาแล้วที่ทยอยเข้าสู่ขาลงทุกประเทศหลักๆของโลกแล้ว (ยกเว้น ญี่ปุ่น) รวมถึงภายในที่มีโอกาสเห็น Downside Risk การปรับลด 1 ครั้งในช่วงปลายปี หลังจาก Real Yield เป็นบวกต่อเนื่อง 14 เดือน

ขณะที่ขนาดมาตรการกระตุ้นบริโภค Digital Wallet มีแนวโน้มต่ำกว่ากรอบที่รัฐบาลตั้งไว้ 4.5 แสนล้านบาท โดยมีแนวโน้มเหลือราว 4.0 +/- แสนล้านบาท มีโอกาสช่วยลดความกังวล BOT ต่อความเสี่ยงเงินเฟ้อที่ตามมาจากนโยบายดังกล่าวได้ คาดการณ์เปิด Upside จากการเคลื่อนไหวฝั่งค่าเงินและผลบวกต่อต้นทุน

THB Appreciation: ทิศทางค่าเงินบาทที่มีแนวโน้มแข็งค่า จากการปรับลดดอกเบี้ยนโยบายของประเทศหลักที่มีฐานดอกเบี้ยสูงกว่าไทย กลุ่มหุ้นที่มีหนี้ต่างประเทศเมื่อแปลงเป็นสกุลบาทจะต่ำลง บวกต่อโรงไฟฟ้า รวมถึงสายการบินที่มีหนี้จากการเช่าใช้หรือเช่าซื้อเครื่องบิน (GULF, GPSC, BA, AAV)

กลุ่มที่มีต้นทุนดอกเบี้ยสูง แรงกดดันตลอด 2 ปีที่ผ่านมาที่จะผ่อนคลายลง คือ กลุ่มเช่าซื้อ (MTC, KTC)

กลุ่มที่มีหนี้สินสูง (High Debt) โดยเฉพาะกลุ่มที่มีหนี้สินรวมต่อฐานทุนเกินกว่า 2.0 เท่า จะเห็นภาพต้นทุนดอกเบี้ยลดลงแบบเร่งตัว ขณะที่กระแสเงินสดคงเหลือในบริษัทจะเพิ่มสูงขึ้น จากภาระดอกเบี้ยที่ลดลง (TRUE, MINT, CPALL, CPAXT)

2) New Government Policy Supports Plays การเปลี่ยนผ่านรัฐบาล ภายใต้การนาอดีตนายก เศรษฐาฯ สู่คุณแพรทองธารที่มีความรวดเร็ว และงบประมาณที่มีความพร้อมเบิกจ่าย ทั้งงบปี 2567 ที่อนุมัติเพิ่มรองรับการออกมาตรการกระตุ้นบริโภคของกลุ่มเปราะบาง+ผู้พิการ รวมถึงงบประมาณปี 2568 ที่ผ่านการพิจารณาขั้นตอน ส.ว. ตั้งแต่ก่อน ครม. ใหม่เริ่มทางานมองช่วยให้การขับเคลื่อนนโยบายต่างๆ เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจทั้งระยะสั้น กลาง ยาว มีความต่อเนื่อง

Digital Wallet ถือเป็นนโยบายหลักที่ช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจระยะสั้น โดยเฉพาะการใช้งบประมาณปี 2567 สนับสนุนเงินกลุ่มเปราะบาง+ผู้พิการจานวน 14.5 ล้านคน ตั้งแต่ปลายเดือนกันยายน

ขณะที่เฟสที่ 2 สาหรับกลุ่มคนที่เหลือยังวางแผนเดินหน้าต่อในปี 2568 ด้วยงบประมาณปี 2568 หนุนการฟื้นตัวภาคบริโภคเด่นตั้งแต่ไตรมาส 4/2567 ซึ่งคาดมีอานิสงส์ส่งผ่านทั้งกลุ่ม Domestic ที่เน้นกลุ่มลูกค้าฐานราก อาทิ ค้าปลีก (สินค้าจำเป็น) เช่าซื้อ (กำลังในการคืนหนี้ดีขึ้น หนุนคุณภาพหนี้ฟื้นตัว ยอดปล่อยสินเชื่อทยอยกลับมา) (CPALL, CPAXT, BJC, TNP, JMT)

Infrastructure Technology (Up-Midstream) แผนเตรียมโครงสร้างธุรกิจพลังงานของรัฐบาล โดยเน้นไปที่การเพิ่มสัดส่วนพลังงานหมุนเวียน ทั้งการเปิดประมูลเพิ่มเติม รวมถึงแผนผ่อนคลายเงื่อนไข Direct PPA นอกจากจะช่วยลดภาระรายจ่ายประชาชนได้ ในอีกด้านหนึ่ง เป็นการเสริมศักยภาพโอกาสทางธุรกิจครั้งสำคัญที่กาลังวิ่งมาฝั่งอาเซียน คือ การลงทุน Data Center ที่ไทยมีข้อได้เปรียบหลายด้าน ทั้งพื้นที่ เหมาะกับ Data Center สมัยใหม่ที่แต่ละองค์ประกอบมีน้ำหนักเพิ่มมากขึ้น ทำให้การสร้างต้องเปลี่ยนเป็นลักษณะคลังสินค้า แทนอาคาร

รวมถึงความก้าวหน้าเทคโนโลยีพื้นฐาน 3G, 4G และ 5G ที่มีครอบคลุม โดยรวมน่าจะช่วยให้ไทยมีโอกาสเติบโตไปโลกที่กาลังเข้าสู่ยุคดิจิตอลในฐานะที่เป็นผู้ให้บริการโครงสร้างพื้นฐาน Data Center รองรับความก้าวหน้าเทคโนโลยีรายสำคัญของโลก มองกลุ่มที่มีโอกาสรับประโยชน์ต้น-กลางน้ำจะ Outperform จากกระแสดังกล่าวใน 3-4 ปีข้างหน้า ได้แก่ กลุ่มนิคม, กลุ่มโรงไฟฟ้า, กลุ่มสื่อสาร, กลุ่มชิ้นส่วนฯ ที่อยู่ฝั่งต้นน้ำ และกลุ่ม Digital Tech ที่อยู่ในกลุ่มกลางน้ำ (WHA, GULF, GPSC, ADVANC, TRUE, DELTA, INSET, BE8, BBIK)

Entertainment Complex การท่องเที่ยวไทย แม้กาลังฟื้นตัวต่อเนื่องและมีปัจจัยเร่งเข้าสู่ฤดูกาลปลายปี แต่การเติบโตระยะกลาง-ยาวที่ผ่านมายังขาดภาพความชัดเจน แผนการผลักดัน Entertainment Complex ซึ่งการเปิดเสรีในหลายประเทศล้วนช่วยยกระดับนักท่องเที่ยวขึ้นอีกขั้น มองหากรัฐบาลผลักดันนโยบายดังกล่าวต่อเนื่อง หุ้นที่อยู่ในระบบนิเวศน์ภาคท่องเที่ยวและบริการจะกลับมาอยู่ในจุดพร้อมฟื้นตัวรับภาพบวกระยะสั้น-กลาง-ยาว (AOT, BTS, VGI, BJC, STEC, ERW, BA, MBK)

3) The Return of Domestic Long-term Funds Plays: กลุ่มที่มีโอกาสจะได้ประโยชน์จากเม็ดเงินลงทุนระยะยาวกลับมาหนุนตลาด นับจากงวดไตรมาส 4/2567 ประเมินเม็ดเงินระดับ 1.7-1.8 แสนล้านบาท มาจากกองทุนวายุภักษ์ 1.5 แสนล้านบาท และเม็ดเงินกองทุน ThaiESG เกณฑ์ใหม่ที่มีความใกล้เคียงกองทุน LTF ในอดีต ประเมินอีกไม่ต่ำกว่าเดือนละ 7 พันล้านบาท แบ่งหุ้นในกลุ่มดังกล่าว 5 ธีมย่อย คือ

หุ้นที่กระทรวงการคลังเป็นผู้ถือหุ้น, อยู่ในกองทุนวายุภักษ์ 1 และมีแนวโน้มเติบโตดีในช่วง 2567-2568 ได้แก่ AOT, KTB, PTT

หุ้นที่อยู่ในกองทุนวายุภักษ์ 1 และซื้อขายในระดับ Valuation Zone รวมถึงมีแนวโน้มการเติบโตดี ได้แก่ CPALL, SCC, MINT, CRC, HMPRO, SCGP

หุ้นที่มีน้าหนักใน SETESG สูงและมีแนวโน้มการเติบโตดี อยู่ใน Theme Data Center ได้แก่ ADVANC, GULF มีโอกาสเป็นเป้าหมาย

หุ้นได้ประโยชน์กองทุนวายุภักษ์ Theme ที่ 4 คือ Dividend Yield ในปี 2567-2568 สูงเกิน 5% และอยู่ใน ThaiESG หุ้น (KBANK, BBL, KTB, HMPRO, INTUCH)

หุ้นที่ยังมีน้ำหนักในกองทุนวายุภักษ์น้อย ขณะที่เข้าเกณฑ์ ESG Score (ถ้าอยู่ใน SET100 เรทติ้ง A ขึ้นไป ต่ำกว่า SET100 AA ขึ้นไป การเติบโตปี 2567-2568 อยู่ในเกณฑ์ดี CPALL, CPAXT, BDMS, CRC, HMPRO, IVL, MTC, BJC และ WHA

4) Tradewars mitigation กระแสนโยบายก่อนการเลือกตั้งสหรัฐฯ ไม่ว่าจะพรรคใดจะชนะการเลือกตั้ง คาดว่านโยบายสงครามการค้า เทคโนโลยี จะเดินหน้าต่อ มองหุ้นกลุ่มที่ทนทานความเสี่ยงดังกล่าวได้ดี คือ กลุ่มธนาคาร (BBL), กลุ่มสาธารณูปโภค (GPSC, GULF), กลุ่มโทรคมนาคม (ADVANC), กลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค (CPALL), กลุ่มสุขภาพ (BDMS, CHG)

Back to top button