พาราสาวะถี

โศกนาฏกรรมรถบัสทัศนศึกษานักเรียนโรงเรียนวัดเขาพระยาสังฆาราม จังหวัดอุทัยธานี เกิดเหตุเพลิงไหม้ บริเวณถนนพหลโยธินขาเข้า ช่วงบริเวณหน้าเซียร์รังสิต จนส่งผลให้ครูและนักเรียนอนุบาลต้องสังเวยชีวิตถึง 23 ศพ ทำให้ แพทองธาร ชินวัตร ถึงกับหลั่งน้ำตาหลังได้รับรายงาน และจุกอกจนไม่สามารถที่จะตอบคำถามนักข่าวได้หลังประชุม ครม. หัวอกคนที่เป็นแม่ย่อมรับรู้ถึงความสูญเสียอันใหญ่หลวงนี้ ส่วนสาเหตุของเหตุการณ์สลดนี้ เป็นเรื่องที่ต้องสอบสวนและว่ากันตามกฎหมายต่อไป

ที่จะตามมาหลังเหตุการณ์ใหญ่ทุกครั้งคือ ข้อเสนอแนะต่าง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องความจำเป็นในการที่จะนำเด็กไปทัศนศึกษา อย่าเพิ่งด่วนสรุปว่าต้องอย่างนั้น อย่างนี้ การจะวางมาตรการเพื่อป้องกันต้องเป็นไปอย่างรอบคอบ ปฏิบัติได้และเป็นแผนระยะยาว ไม่ใช่ทำกันแบบไฟไหม้ฟาง บทเรียนอันใหญ่หลวงนี้ ไม่ว่าหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะวางกฎเกณฑ์กันอย่างไร สุดท้าย ย่อมหนีไม่พ้นเรื่องการล้อมคอก เรื่องใหญ่ที่ควรต้องทำมากกว่าจะมาถกเถียงกันคือ ทำอย่างไรที่จะฟื้นฟูสภาพจิตใจของพ่อแม่ ผู้ปกครองที่สูญเสีย รวมไปถึงผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์ทั้งในรถคันเกิดเหตุ และรถอีกสองคันที่ร่วมขบวน

เรื่องขวัญ กำลังใจ เป็นสิ่งสำคัญ การช่วยเหลือเยียวยา ก็อย่าได้ประกาศว่าจะต้องอย่างโน้น อย่างนี้ กรณีที่เป็นส่วนราชการท้ายที่สุดก็ย่อมติดขัดเงื่อนไข ระเบียบต่าง ๆ ดังนั้น จึงเอาแต่พอดี เพื่อที่จะไม่ได้เป็นการซ้ำเติมความรู้สึกของผู้ที่ได้รับผลกระทบกันภายหลัง หากทุกอย่างไม่ได้เป็นไปตามที่โพนทะนากันเอาไว้ ขณะเดียวกัน ปัญหาเฉพาะหน้าที่เกิดหลังกรณีนี้คือ หลายโรงเรียนทั่วประเทศกำลังจะพานักเรียนไปทัศนศึกษา จะสร้างความเชื่อมั่นกันอย่างไร หรือจะให้ยกเลิกกันไปก่อน เหรียญย่อมมีสองด้านเสมอ

การประชุม ครม.วันอังคารที่ผ่านมา มีเรื่องอนุมัติที่เกี่ยวข้องกับการช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วมสำคัญ 2 ประการคือ เงินเยียวยาประชาชนผู้ได้รับผลกระทบ ตามเกณฑ์ของรัฐบาลที่ช่วยเหลือครัวเรือนละ 5,000, 7,000 และ 9,000 บาท ที่ประชุมเคาะให้จ่ายเท่ากันทุกครัวเรือนที่เก้าพันบาท เพราะหากประเมินความเสียหายที่เป็นจริงเงินจำนวนเท่านี้ยังน้อยไป อีกเรื่องคือการเคาะสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำหรือซอฟต์โลน ของธนาคารออมสิน 5 หมื่นล้านบาท เพื่อเป็นแหล่งเงินทุนดอกเบี้ยต่ำให้แก่สถาบันการเงินปล่อยสินเชื่อให้กับผู้ประกอบการเอสเอ็มอี กลุ่มรายย่อย อาชีพอิสระ ที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัยครั้งนี้

มาตรการเบื้องต้นต้องเร่งดำเนินการ และไม่ได้จบแค่นี้ยังมีประเด็นที่จะต้องพิจารณาหาช่องเพื่อเพิ่มการเยียวยาเป็นกรณีพิเศษ เนื่องจากความรุนแรงของสถานการณ์และความเสียหายที่ตามมาหลังน้ำท่วมรอบนี้ โดยเฉพาะที่อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย ถือว่าหนักหนาสาหัสกว่าเหตุการณ์น้ำท่วมที่ผ่านมา อยู่ที่ว่าฝ่ายที่เกี่ยวข้องจะสามารถทำตามบัญชาของนายกฯ หญิงได้มากน้อยขนาดไหน แต่ที่ประกาศิตลงมาคือต้องทำให้ได้ และเป็นที่พอใจของประชาชนผู้เดือดร้อนด้วย

วันนี้ (3 ตุลาคม) แพทองธารมีกำหนดการจะขึ้นแสดงวิสัยทัศน์บนเวทีการประชุมระดับผู้นำกรอบความร่วมมือเอเชีย หรือ ACD ครั้งที่ 3 ที่กรุงโดฮา รัฐกาตาร์ ถือเป็นการขึ้นเวทีระดับนานาชาติครั้งแรกของนายกฯ หญิงจากประเทศไทย หลังจากรับตำแหน่ง ท่ามกลางการจับตามองของสื่อต่างชาติ โดยประเด็นที่จะพูดนั้น เป็นเรื่องของเศรษฐกิจ สังคม และการพัฒนาทรัพยากรอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องระหว่างประเทศสมาชิก รวมถึงหัวข้อสำคัญคือ Sports Diplomacy หรือการใช้กีฬาเพื่อการทูตระหว่างประเทศ

เห็นกระบวนการการทำงาน วิธีการสื่อสารของท่านผู้นำแล้ว ไม่น่าห่วงสำหรับเวทีในลักษณะนี้ เป็นการเปิดตัวบนเวทีระหว่างประเทศอย่างเป็นทางการ หลังจากนี้คงจะมีอีกหลายวาระที่จะได้เดินทางไปกระชับความสัมพันธ์ และสร้างการยอมรับจากนานาประเทศ ขณะที่กระแสสนับสนุนภายในประเทศจากผลโพลทั้งหลาย ยิ่งทำให้ลูกสาวคนเล็กของ ทักษิณ ชินวัตร มีกำลังใจในการทำงานมากขึ้น รวมไปถึงส่งผลดีต่อการฟื้นความนิยมให้กับพรรคเพื่อไทยด้วย

ท่วงทำนองทางการเมืองที่ไม่มุ่งเน้นชวนทะเลาะ แต่ใช่ว่าจะถอยแบบไร้เชิง เหมือนที่ถูกนักข่าวถามเรื่อง สนธิ ลิ้มทองกุล จะก่อม็อบลงถนนล้มรัฐบาล เจ้าตัวถึงกับหัวเราะ และขอความเห็นใจในทำนองที่ว่ารัฐบาลเพิ่งทำงานมาได้เดือนเดียว จะมาไล่กันเลยหรือ ถ้ามีปัญหาอะไรควรเปิดใจพูดคุยกันดีกว่า ตนไม่อยากมีเรื่องกับใคร มิหนำซ้ำ ยังมองท่าทีของฝ่ายตรงข้ามด้วยว่า การเคลื่อนไหวนั้นคงไม่ใช่เพราะนามสกุลชินวัตร เพราะแม้ตัวเองเปลี่ยนนามสกุลตามสามี แต่มาเป็นนายกฯ ก็จะไล่เพราะได้ชื่อว่าเป็นลูกสาวทักษิณอยู่ดี

การเลือกที่จะใช้แนวทางปรองดอง สร้างความสามัคคีเพื่อให้ประเทศมีจังหวะหายใจ ได้ก้าวข้ามความขัดแย้ง มีโอกาสเดินไปข้างหน้า ประชาชนได้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น แค่นี้ก็สร้างแนวร่วมได้มหาศาลแล้ว เพราะความเห็นที่แตกต่าง ม็อบการเมืองที่ผ่านมานั้น สะท้อนให้เห็นแล้วว่า นำพาประเทศไปในทิศทางที่ดีขึ้นหรือแย่ลง ยิ่งภายใต้การบริหารงานของเผด็จการ คสช.และรัฐบาลสืบทอดอำนาจเกือบ 10 ปี เป็นตัวบ่งชี้ที่ชัดเจน คนส่วนใหญ่ไม่ต้องการให้เกิดภาพเช่นนั้นอีกต่อไป

ประเด็นการแก้ไขรัฐธรรมนูญ หลัง สว.คว่ำร่างกฎหมายประชามติที่ผ่านความเห็นชอบจากสภาผู้แทนราษฎร แทบไม่ต้องตีความให้เมื่อยตุ้ม เลือกตั้งครั้งหน้าจะได้ใช้รัฐธรรมนูญใหม่กันหรือไม่ เมื่อกลไกของอำนาจได้ดำเนินการไปจนเชื่อมั่นแล้วว่า น่าจะรักษาฐานเสียงและเพิ่มความนิยมได้ การใช้รัฐธรรมนูญที่อ้างว่าเป็นฉบับปราบโกงไปอีกสมัยก็น่าจะไม่เป็นปัญหา ดีกว่าแก้ไปแล้วเข้าทางฝ่ายตรงข้ามจะไปกันใหญ่ งานนี้ด้วยความที่เป็น สว.สายสีน้ำเงิน พรรคที่ถูกมองว่ามีสายสัมพันธ์ระหว่างกันก็ต้องรับแรงกระแทกไปโดยปริยาย

การเลือกตั้งที่ยังเหลือเวลาอีก 3 ปี ถือว่ามากพอสำหรับนักเลือกตั้งและพรรคการเมือง ในการที่จะสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชน แต่ระหว่างทางก็ไม่รู้ว่าจะเกิดเหตุอะไรที่ไม่คาดฝันหรือไม่ ภายในระยะเวลาแค่เดือนเดียว เห็นแล้วว่านายกฯ หญิงคนที่สองต้องเผชิญกับเหตุการณ์หนักหน่วงทั้ง น้ำท่วม โคลนถล่ม และล่าสุดก็โศกนาฏกรรมไฟไหม้รถบัสนักเรียน ทั้งหมดเป็นจังหวะที่ทำให้แพทองธารได้แสดงความสามารถในการตัดสินใจ เข้าถึงพื้นที่ สั่งการแบบถึงลูกถึงคน ปรากฏภาพเช่นนี้บ่อยครั้งกระแสย่อมดีขึ้นเป็นธรรมดา

อรชุน