“อิสราเอล-อิหร่าน” ปะทะเดือด! จับตาน้ำมันดิบทะยาน หุ้นพลังงาน-โรงกลั่นตีปีก

"อิสราเอล-อิหร่าน" ปะทะเดือด! ดันราคาน้ำมันดิบทะยาน บล.กสิกรไทย ประเมินหากอิหร่านโดนถล่มน้ำมันพุ่ง 7-10 ดอลลาร์ฯ ต่อบาร์เรล แนะนำ “ซื้อ” หุ้นกลุ่มพลังงานต้นน้ำ PTTEP รับผลดีราคาน้ำมันพุ่ง ส่วนกลุ่มโรงกลั่น TOP-BCP-BSRC-SPRC รับกำไรจากสต๊อกน้ำมัน พร้อมทยอยสะสมหุ้นกองทุนวายุภักษ์มีโอกาสเพิ่มน้ำหนัก


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากสถานการณ์ความตึงเครียดในตะวันออกกลางเดือดระอุรอบใหม่ หลังอิหร่านเปิดฉากยิงขีปนาวุธโจมตีใส่หลายเมืองของอิสราเอล โดยประเมินว่ามีขีปนาวุธราว 180 ลูก เกิดขึ้นหลังจากที่อิสราเอลเดินหน้าการโจมตีทางอากาศครั้งใหญ่เพื่อต่อต้านกลุ่มฮิซบอลเลาะห์ในเลบานอน

โดยผลดังกล่าวส่งผลให้ราคาน้ำมันดิบพุ่งสูงขึ้นท่ามกลางความกังวลว่าความขัดแย้งที่ลุกลาม และอาจส่งผลกระทบต่ออุปทานน้ำมัน เนื่องจากอิหร่านถือเป็นผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่อันดับ 7 ของโลก ส่งผลให้เมื่อวันที่ (2 ต.ค. 67) ราคาน้ำมันดิบ Brent เพิ่มขึ้นทะลุ 75 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล และ WTI เพิ่มขึ้นทะลุ 72 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล

สอดคล้องกับฝ่ายนักวิเคราะห์ด้านบริษัทหลักทรัพย์ ซีจีเอส อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) จำกัด หรือ CGSI ประเมินจากสถานการณ์อิหร่านยิงขีปนาวุธใส่อิสราเอลทำให้ตะวันออกกลางตึงเครียดขึ้น หนุนดัชนีความผันผวนพุ่งขึ้นกว่า 15% เนื่องจากสถานการณ์ความขัดแย้ง จะส่งผลราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกปรับตัวขึ้นกว่า 2.5% ซึ่งเป็นจิตวิทยาเชิงบวกต่อหุ้น บริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ PTTEP ยังแนะนำ “ซื้อ” PTTEP คงราคาเป้าหมายอยู่ที่ 189 บาท

นอกจากนั้น เชิงกลยุทธ์ยังคงประเมินว่า PTTEP ถือเป็นหนึ่งในหุ้นกลุ่มเป้าหมายของกองทุนวายุภักษ์เช่นเดียวกัน เนื่องจากมี ESG Rating ระดับ “AAA” และผลตอบแทนจากเงินปันผลระดับ 6.8% ดังนั้น จึงแนะนำกลยุทธ์ PTTEP เป็นการทยอยสะสม หรือ DCA ในกรอบระยะเวลา 3-6 เดือนจากนี้ ในฐานะหุ้นป้องกันความเสี่ยงจากภูมิรัฐศาสตร์

ขณะเดียวกัน บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) ระบุว่า รมว. ต่างประเทศอิหร่าน เปิดเผยผ่านทวิตเตอร์ X ว่าการปฏิบัติการทางทหารต่ออิสราเอลสิ้นสุดลงแล้ว โดยอิหร่านได้ป้องกันตัวเองภายใต้มาตรา 51 ของกฎบัตรสหประชาชาติ เว้นแต่ว่าอิสราเอลตัดสินใจที่จะหาเหตุให้เกิดการตอบโต้ครั้งใหม่ ซึ่งทางการอิหร่าน

ทั้งนี้ ทางฝ่ายวิจัยยังคงมองตลาดหุ้นไทยมีโอกาสฟื้นตัว สำหรับกลยุทธ์ทยอยสะสมหุ้นกองทุนวายุภักษ์มีโอกาสเพิ่มน้ำหนัก และหุ้น Top Picks งวดไตรมาส 4/67 อาทิ บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ ADVANC, บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ AOT, บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ GULF, ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KTB, บริษัท โฮม โปรดักส์ เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ HMPRO, บริษัท กรุงเทพดุสิตเวชการ จำกัด(มหาชน) หรือ BDMS, บริษัท เบอร์ลี่ ยุคเกอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BJC, บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) หรือ CPALL, บริษัท โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) หรือ GPSC

อย่างไรก็ตาม ประเด็นนี้ต้องคอยติดตามพัฒนาการ ทำให้ตลาดหุ้นมีโอกาสผันผวนช่วงต้น ก่อนค่อย ๆ ฟื้นตัว หนุนจากราคาน้ำมันดิบที่เร่งขึ้นมาเฉลี่ย 2.5% ระยะสั้นยังน่าจะหนุนหุ้นกลุ่มน้ำมัน (กลุ่มพลังงาน 12% ของมูลค่าตลาด) ขึ้นมาประคอง ประกอบกับเม็ดเงินกองทุนวายุภักษ์ 1.5 แสนล้านบาท ที่เริ่มเข้าตลาดเป็นวันแรกเมื่อวันที่ 1 ต.ค. 67 ช่วยอีกด้วย อย่างไรก็ตาม สำหรับกลยุทธ์หุ้นเคลื่อนไหวเด่นกว่าตลาด คือกลุ่มน้ำมัน คือ PTT, PTTEP

นอกจากนี้ บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด ระบุว่า มีความกังวลหลังจากอิหร่านได้ยิงขีปนาวุธโจมตีอิสราเอล เพื่อตอบโต้อิสราเอลที่ใช้ปฏิบัติการ สังหารผู้นำกลุ่มฮิชบอลเลาะห์ซึ่ง เป็นพันธมิตรของอิหร่าน ซึ่งจะเห็นได้ว่าเวลามีเหตุการณ์ความไม่สงบในตะวันออกกลางทีไร ส่งผลให้น้ำมันดิบ BRENT ผันผวน และปรับตัวขึ้น ในช่วงระยะสั้นได้

โดยหากสงครามมีความยืดเยื้อ และรุนแรงมากขึ้น อาจหนุนให้ราคาน้ำมันดิบทยอยปรับตัวขึ้นเรื่อยๆ และหนุนให้อัตราเงินเฟ้อของหลายประเทศต่างๆ เพิ่มขึ้น ซึ่งจะตามมาด้วยการใช้นโยบายทางการเงินเชิงรุกที่มากขึ้นของธนาคารกลางสหรัฐ, ธนาคารกลางยุโรป, ธนาคารกลางอังกฤษ และธนาคารกลางญี่ปุ่นก็เป็นได้ ซึ่งอาจหนุนให้ดอลลาร์กลับมาแข็งค่าขึ้น ซึ่งกดดันค่าเงินบาทให้อ่อนค่าตามกลไก

อย่างไรก็ตาม คาดมีหุ้นกลุ่มพลังงาน และโรงกลั่นที่มีสัดส่วนสูงถึง 1 ใน 3 ของน้ำหนักทั้งหมดเป็นตัวพยุง ส่วนหุ้นที่ได้ประโยชน์ในเวลาราคาน้ำมันดิบปรับตัวขึ้น ได้แก่กลุ่มผู้ประกอบการผลิตและสำรวจน้ำมันที่มีรายได้อิงกับกับราคาขายน้ำมัน คือ PTTEP, บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ BCP

ส่วนธุรกิจโรงกลั่น คือ บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) หรือ TOP , บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ PTTGC, บริษัท ไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน) หรือ IRPC, BCP, บริษัท บางจาก ศรีราชา จำกัด (มหาชน) หรือ BSRC, บริษัท สตาร์ ปิโตรเลียม รีไฟน์นิ่ง จำกัด (มหาชน) หรือ SPRC

รวมถึง บริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ระบุว่า ให้นักลงทุนจับตาสถานการณ์ความตึงเครียดในตะวันออกกลางล่าสุด ว่าจะมีการตอบโต้จากอิสราเอลเมื่อไหร่ หลังถูกอิหร่านโจมตี ซึ่งสามารถประเมินได้ดังนี้ กรณีแรกอิสราเอลโจมตีโรงกลั่นน้ำมันของอิหร่าน จนต้องหยุดการผลิต จากกำลังการผลิตทั้งหมด 3.6 ล้านบาร์เรลต่อวัน โดยแบ่งเป็น ใช้ในประเทศประมาณ 2 ล้านกว่าบาร์เรล และส่งออกประมาณ 1 ล้านกว่าบาร์เรลต่อวัน หรือคิดเป็น 1-2% ของกำลังการผลิตทั่วโลก โดยในกรณีนี้จะส่งผลให้ราคาน้ำมันดิบทั่วโลกปรับตัวเพิ่มขึ้นประมาณ 7-10 ดอลลาร์ฯ ต่อบาร์เรล

กรณีที่สอง หลังจากอิหร่านถูกอิสราเอลโจมตีกลับ อิหร่านส่งกองกำลังปิดช่องแคบฮอร์มุซ โดยน้ำมันดิบราว 30% ของการบริโภคทั้งหมดทั่วโลกมีการขนส่งผ่านช่องแคบนี้ จะส่งให้ราคาน้ำมันพุ่งขึ้นเกิน 100 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล อย่างแน่นอน

ทั้งนี้ หุ้นที่จะได้รับประโยชน์โดยตรงจากสถานการณ์ดังกล่าวคือ PTTEP นอกจากนี้ยังมีหุ้นกลุ่มโรงกลั่นที่จะได้ประโยชน์จากกำไรจากสต๊อกน้ำมัน หรือ Stock gain ได้แก่ บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) หรือ TOP โดยมีจำนวนสต๊อกน้ำมันอยู่ที่ 10 ล้านบาร์เรล, บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ BCP สต๊อกน้ำมันอยู่ที่ 5 ล้านบาร์เรล

บริษัท บางจาก ศรีราชา จำกัด (มหาชน) หรือ BSRCต๊อกน้ำมันอยู่ที่ 5 ล้านบาร์เรล, บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ PTTGC สต๊อกน้ำมันอยู่ที่ 10 ล้านบาร์เรล, บริษัท ไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน) หรือ IRPC สต๊อกน้ำมันอยู่ที่ 9 ล้านบาร์เรล และบริษัท สตาร์ ปิโตรเลียม รีไฟน์นิ่ง จำกัด (มหาชน) หรือ SPRC สต๊อกน้ำมันอยู่ที่ 5 ล้านบาร์เรล

Back to top button