“ราชาสลัดออร์แกนิก” OKJ ลงสนามเทรดวันนี้ โบรกเคาะเป้าสูง 8.69 บาท

ไอพีโอน้องใหม่ OKJ ลงสนามเทรดวันนี้ โบรกให้ราคาเป้าสูง 8.69 บาท คาดกำไร 3 ปี (37-69) โตเฉลี่ยปีละ 37% จากแบรนด์ที่แข็งแกร่ง และกลยุทธ์ขยายสาขาต่อเนื่อง


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (4 ต.ค.67) บริษัท ปลูกผักเพราะรักแม่ จำกัด (มหาชน) หรือ OKJ เตรียมเข้าจดทะเบียนและทำการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ในกลุ่มเกษตรและอุตสาหกรรมอาหาร หมวดอาหารและเครื่องดื่ม โดยใช้ชื่อย่อในการซื้อขายหลักทรัพย์ว่า “OKJ”

สำหรับ OKJ ประกอบธุรกิจให้บริการและจำหน่ายอาหาร เครื่องดื่มและผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพภายใต้คอนเซ็ปท์ “Be Organic from Farm to Table” รวมถึงบริการด้านอาหารและเครื่องดื่มอื่นๆ โดยเน้นการปลูกผักแบบเกษตรอินทรีย์ (Organic) และนำเสนออาหารและเครื่องดื่มจากวัตถุดิบหลักที่เป็นอินทรีย์ที่มีคุณภาพ

โดยมีธุรกิจหลักคือธุรกิจบริการและจำหน่ายอาหารภายใต้แบรนด์ “โอ้กะจู๋” ซึ่งมีช่องทางจำหน่ายทั้งในรูปแบบร้านอาหาร Full-service การจำหน่ายอาหารเพื่อสุขภาพผ่าน Delivery and Kiosk การจำหน่ายผลิตภัณฑ์อาหารว่างและอาหารเพื่อสุขภาพผ่าน Café Amazon และการจำหน่ายผลิตภัณฑ์ประเภทผัก ผลไม้ สลัดพร้อมทานในซุปเปอร์มาร์เก็ต นอกจากนี้ บริษัทยังมีธุรกิจอาหารจานด่วนภายใต้แบรนด์ “Ohkajhu Wrap & Roll” และ ธุรกิจร้านน้ำผักผลไม้เพื่อสุขภาพ ภายใต้แบรนด์ “Oh! Juice” อีกด้วย

OKJ มีทุนชำระแล้วหลังการเสนอขาย IPO 304.50 ล้านบาท มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.50 บาท บริษัทเสนอขายหุ้น IPO จำนวนรวม 159 ล้านหุ้น โดยได้เสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนต่อประชาชนทั่วไปครั้งแรกระหว่างวันที่ 23-25 ก.ย.67 ที่ผ่านมา ในราคาหุ้นละ 6.70 บาท คิดเป็นมูลค่าระดมทุนรวม 1,065.30 ล้านบาท และมีมูลค่าหลักทรัพย์ ณ ราคา IPO เท่ากับ 4,080.30 ล้านบาท

ทั้งนี้ ราคาเสนอขายหุ้น IPO คิดเป็นอัตราส่วนราคาต่อกำไรสุทธิต่อหุ้น (P/E ratio) เท่ากับ 24.13 เท่า พิจารณาจากกำไรสุทธิในช่วง 12 เดือนย้อนหลังซึ่งมีกำไรสุทธิเท่ากับ 169.08 ล้านบาท หารด้วยจำนวนหุ้นสามัญหลังเสนอขายซึ่งเท่ากับ 609 ล้านหุ้น คิดเป็นกำไรสุทธิต่อหุ้น (Fully Diluted EPS) เท่ากับ 0.28 บาท โดยมีบริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง จำกัด (มหาชน) เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน และผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจัดจำหน่ายหุ้นสามัญ

นายชลากร เอกชัยพัฒนกุล ผู้ก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร OKJ เปิดเผยว่า บริษัทมุ่งมั่นสร้างการเติบโตในฐานะ “King of Organic Salad” ในประเทศไทย ภายใต้วิสัยทัศน์ “เรามุ่งมั่นเดินบนวิถีอินทรีย์ที่ดีต่อตัวเรา และสังคม” ผ่านการส่งมอบผักออร์แกนิคจากฟาร์ม คัดสรรวัตถุดิบปราศจากสารเคมี นำเสนอผ่านประสบการณ์มื้ออาหารเพื่อสุขภาพที่ดีของทุกคน ซึ่งการระดมทุนและเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยครั้งนี้ นับเป็นก้าวสำคัญที่ช่วยเสริมความแข็งแกร่งทางด้านเงินทุนของบริษัท และช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันเพื่อรองรับโอกาสการเติบโตทางธุรกิจในอนาคตอย่างยั่งยืนต่อไป

OKJ มีผู้ถือหุ้นหลักภายหลัง IPO ได้แก่ กลุ่มผู้ก่อตั้งคือ 1. กลุ่มครอบครัวเอกชัยพัฒนกุล ร้อยละ 34.3 , 2. นายจิรายุทธ ภูวพูนผล ร้อยละ 16.6, 3. ครอบครัวสุชัยบุญศิริ ร้อยละ 8.3 รวมร้อยละ 59.1 และ บริษัท มอดูลัส เวนเจอร์ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของ บมจ. ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก (OR) ร้อยละ 14.8

ทั้งนี้ ณ วันแรกที่หุ้น OKJ เริ่มทำการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ บริษัท มอดูลัส เวนเจอร์ จำกัด จะซื้อหุ้นจากกลุ่มผู้ก่อตั้ง 3 ท่าน ได้แก่ นายชลากร เอกชัยพัฒนกุล นายจิรายุทธ ภูวพูนผล และ นายวรเดช สุชัยบุญศิริ บนกระดานรายใหญ่ (Big Lot Board) จำนวนรวม 31.8 ล้านหุ้น หรือร้อยละ 5.2 เพื่อให้กลุ่ม OR รักษาสัดส่วนการถือหุ้นที่ร้อยละ 20 ภายหลังการ IPO โดยภายหลังการเสนอขายหุ้น IPO และการซื้อขายหุ้น Big Lot ดังกล่าว กลุ่มผู้ก่อตั้งจะถือหุ้นในสัดส่วนร้อยละ 53.9

ทั้งนี้ OKJ มีนโยบายจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นไม่น้อยกว่าร้อยละ 40 ของกำไรสุทธิจากงบการเงินเฉพาะกิจการของบริษัทฯ ภายหลังจากหักภาษีเงินได้นิติบุคคลและการจัดสรรทุนสำรองต่างๆ ทุกประเภทตามที่ได้กำหนดไว้ในกฎหมายและข้อบังคับของบริษัทฯ การจ่ายเงินปันผลอาจน้อยกว่าอัตราข้างต้น โดยคำนึงถึงปัจจัยและความเหมาะสมอื่น ๆ

บริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง จำกัด ระบุในบทวิเคราะห์ ประเมินมูลค่าพื้นฐานปี 68 ของ OKJ ที่ 4,824-4,934 ล้านบาท หรือเทียบเป็นราคา 7.90-8.10 บาท/หุ้น ผ่านการประเมินมูลค่ากิจการด้วยวิธีอิงเป้าหมาย PER และการคิดลดกระแสเงินสด (DCF) ตามลำดับ

โดย OKJ มีอัตราการเติบโตของรายได้สูงเฉลี่ย 47% ในปี 64-66 และ BLS คาดการณ์รายได้โตต่อเนื่องเฉลี่ย CAGR 23% ในปี 67-69 จากปัจจัยที่สำคัญคือ แบรนด์ที่แข็งแกร่งและเป็นที่นิยมของผู้บริโภค การเติบโตของอุตสาหกรรมร้านอาหารเพื่อสุขภาพ วิสัยทัศน์และความรู้ความสามารถของผู้บริหาร กลยุทธ์การขยายสาขาต่อเนื่อง การให้ความสำคัญในการคิดค้นพัฒนาเมนูใหม่ๆ และกลยุทธ์ในการบริหารความสัมพันธ์กับลูกค้าในหลายรูปแบบ ซึ่งทำให้มีจำนวนลูกค้าใช้บริการเพิ่มขึ้น 2 เท่าตัวจากปี 64 มายัง 66 และรายได้จากสมาชิกคิดเป็น 20% ของรายได้รวมปี 66

บริษัทหลักทรัพย์ กรุงไทย เอ็กซ์สปริง จำกัด ระบุในบทวิเคราะห์ ว่า คาดการณ์กำไรสุทธิของ OKJ จะเติบโตในอัตราเฉลี่ย 37% ต่อปี (CAGR) จาก 141 ล้านบาท ในปี 66 ไปแตะระดับ 365 ล้านบาท ในปี 69 ผลักดันโดย 1) คาดการณ์รายได้ที่จะเติบโตจาก 1.7 พันล้านบาท ในปี 66 เป็น 2.9 พันล้านบาท ในปี 69 คิดเป็นอัตราการขยายตัวเฉลี่ย 30% ต่อปี และ 2) อัตรากำไรสุทธิที่ขยายตัวจาก 8.2% ในปี 66 สู่ระดับ 9.7% ในปี 66 ตามการประหยัดต่อขนาดและการลดลงของค่าใช้จ่ายทางการเงิน

พร้อมประมาณการผลการดำเนินงาน อาจมีความเสี่ยงจากการเปิดสาขาไม่ได้ตามสมมติฐานที่วางไว้ ความผันผวนของราคาวัตถุดิบ การเปลี่ยนแปลงของสภาวะการแข่งขัน และพฤติกรรมผู้บริโภค

ทั้งนี้ ฝ่ายวิจัยประเมินมูลค่าเหมาะสมของ OKJ ได้ 8.69 บาท ต่อหุ้น ด้วยวิธี Earnings Yield อิงประมาณการกำไรต่อหุ้นปี 68 ที่ 0.47 บาทต่อหุ้น คิดลดด้วยอัตราผลตอบแทนที่คาดหวัง 5.4% ตามแบบจำลอง CAPM ด้วยสมมติฐานอัตราผลตอบแทนที่ไม่มีดอกเบี้ย 2.8% และส่วนชดเชยความเสี่ยง (Equity Risk Premium) 2.6%

โดยประมาณค่า Beta เทียบเคียงกับผู้ประกอบการร้านอาหารในประเทศที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ระดับราคาดังกล่าวเทียบเท่ากับ PER 18.5 เท่า ของประมาณการกำไรต่อหุ้นปี 68 ทั้งนี้การเปลี่ยนแปลงของอัตราผลตอบแทนที่คาดหวังทุก 50bps จะมีผลให้มูลค่าเหมาะสมเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางตรงกันข้ามราว 8-12%

ด้านบริษัทหลักทรัพย์ ซีจีเอส อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) จำกัด ระบุในบทวิเคราะห์ ประมาณการว่าบริษัทฯ จะมีรายได้ 2,362 ล้านบาท โต 37.9% จากปีก่อน, 3,183 ล้านบาท โต 34.8% จากปีก่อน และ 4,123 ล้านบาท โต 29.5% จากปีก่อน สำหรับปี 67-69 ตามลำดับ หรือคิดเป็น 32.1% CAGR ได้แรงหนุนจากการขยายสาขาโดยเฉพาะร้านโอ้กะจู๋ (Full-service restaurant) ที่มีแบรนด์แข็งแกร่ง โดยประมาณการการขยายสาขาจาก 37 สาขา ในปี 67 เป็น 44 สาขา ในปี 68 และ 50 สาขาในปี 68 รวมถึงแบรนด์ใหม่อย่าง Oh! Juice ที่มีอัตรากำไรขั้นต้นสูงกว่าแบรนด์ร้านโอ้กะจู๋ (Full service and Restaurant)

ทั้งนี้ คาดการณ์ว่าอัตรากำไรขั้นต้นบริษัทอยู่ที่ระดับ 45.0%/ 45.1%/ 45.4% ได้แรงหนุนจากการขยายสาขาอย่างแบรนด์ Oh! Juice ที่มีอัตรากำไรขั้นต้นอยู่ที่ราว 50-55% ซึ่งสูงกว่าร้านโอ้กะจู๋ (Full-service restaurant) ที่มีอัตรากำไรขั้น 42-45% สำหรับปี 65-66 อย่างไรก็ตามในระยะสั้นช่วงการทำแบรนด์ใหม่ การเพิ่มของอัตรากำไรขั้นต้นยังมีจำกัด เนื่องจากเชื่อว่าบริษัทจะมีการทำโปรโมชั่นในช่วง เริ่มต้นของการขยายสาขาและโปรโมทแบรนด์ เชื่อว่าบริษัทจะมีค่าใช้จ่ายในการบริหารเพิ่มขึ้น (SG&A) แต่ถูกชดเชยด้วยการประหยัดเชิงขนาด (Economies of scale) จาก 34.2% สำหรับปี 66 เป็น 33.7%/ 34.2%/ 34.2% สำหรับปี 67-69

พร้อมกันนี้ ประมาณการกำไรปี 68 ที่ 265 ล้านบาท และจำนวนหุ้นสามัญหลังการ IPO ที่ 609 ล้านหุ้น จะได้มูลค่ากิจการหลัง IPO ของ OKJ อยู่ที่ 5,146.1 ล้านบาทหรือ 8.45 บาทต่อหุ้น อิงประมาณการ EPS ในปี 68 ที่ 0.44 บาท และ P/E ที่ 19.4 เท่า (-0.4 s.d. สำหรับ 12m Trailing P/E ของ บริษัทที่มีลักษณะใกล้เคียงกันอย่าง M, MINT, ZEN, AU หรือเท่ากับค่าเฉลี่ยของ forward P/E สำหรับปี 68 ที่ 19.4 เท่า)

Back to top button