ตลาดหุ้นไทยไม่ใช่เวทีของรายย่อย??

เปิดศักราชใหม่มา สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ หรือ ก.ล.ต. ได้แสดงให้เห็นถึงการปฏิบัติหน้าที่อย่างแข็งขันระคนขึงขังมาโดยตลอด


–ตามกระแสโลก–

 

เปิดศักราชใหม่มา สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ หรือ ก.ล.ต. ได้แสดงให้เห็นถึงการปฏิบัติหน้าที่อย่างแข็งขันระคนขึงขังมาโดยตลอด

ล่าสุด ก็แสดงจุดประสงค์อย่างชัดเจนว่า ต้องการออกบทลงโทษพวกผู้บริหารบจ.ที่ชอบให้ข่าวประเภท “คาดการณ์ผลประกอบการ อัตราการเติบโต” อะไรเทือกๆนั้น

โดยมีเงื่อนไขว่า หากมีการให้ข่าวออกมา และทีมผู้ทรงคุณวุฒิทั้งหลายของ ก.ล.ต. มองเป็นเรื่องที่ไม่สามารถเกิดขึ้นได้จริง ผู้บริหารรายนั้นต้องได้รับโทษอย่างหนักให้สาสม

มิหนำซ้ำ ยังจะจับเอาพวกสื่อที่ให้ความร่วมมือ ในการเอาข้อมูลหลอกๆมานำเสนอต่อสาธารณชน มาตีก้นเสียให้เข็ดหลาบอีกต่างหาก

งานนี้ ผิวเผินก็ดูสวยหรูดีอยู่หรอก ที่ทาง ก.ล.ต. มีความพยายามจะหาวิธีปกป้องนักลงทุนรายย่อยจากการถูกหลอก โดยฝีมือ ผู้บริหารเลว และ สื่อชั่ว

แต่ในความสวยหรูที่จับต้องมิได้…

มีใครหน้าไหนกล้าออกมายืนยันบ้างไหมว่า รายย่อยจะไม่ถูกแว้งกัดด้วยวิธีจำกัดการให้ข้อมูลแบบนี้??

ถ้าหากมองในมุมกลับ การปิดกั้นข้อมูลเช่นนี้ เท่ากับเป็นการลดความสามารถในการตัดสินใจลงทุนของรายย่อยไปโดยปริยาย

เพราะไม่มีใครหยั่งรู้ได้ ว่าหุ้นตัวไหนอนาคตสั้น-อนาคตยาว หรืออนาคตมีแต่ความหายนะ

การเอาแต่ออกมาอุ้มกระเตงกันไปวันๆ เพราะกลัวใครจะไปหลงเชื่ออะไรผิดๆ บอกให้เลยว่า เป็นโทษมากกว่าเป็นคุณ!!

ข้อเท็จจริงอีกอย่างคือ การจะออกมาควบคุมและลงโทษใครในลักษณะนี้ มันไม่ต่างอะไรกับการดูถูกปัญญามันสมองของนักลงทุน

ทั้งที่จริงๆแล้ว รายย่อยบ้านเราวันนี้ต่างก็รู้วิธีการกลั่นกรองข้อมูลข่าวสารโดยใช้วิจารณญาณในการตัดสินใจ

อีกทั้ง ความสามารถในการอ่านงบ คิดค่าพีอี คำนวณค่าสถิติต่างๆ ของนักลงทุนกลุ่มนี้ก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าใคร

มิหนำซ้ำ ยังสามารถทำได้ดีกว่า หรือมีความรู้ความเข้าใจมากกว่าหลายๆคนใน ก.ล.ต. ซะด้วยซ้ำ

สิ่งหนึ่งที่วันนี้อยากรู้จริงๆคือ พวกนักวิชาการที่ ก.ล.ต. จะตั้งขึ้นมาตัดสินคนนู้นคนนี้น่ะ เคยมีประสบการณ์จากสนามการทำธุรกิจของจริง หรือเคยบริหารกิจการอะไรได้จนประสบผลสำเร็จหรือเปล่า

เอ๊ะ!! หรือเป็นแค่พวก “นักวิชาการ 1 มิติ” ที่ร่ำเรียนตำรากันอย่างทะลุปรุโปร่ง แต่ไม่เคยได้นำมาประยุกต์ใช้ในชีวิตจริงซักกะที

คือไม่สนใจอะไรซักอย่าง “ข้าจะดูแค่ตามบทเรียนในหนังสือ ภาวะข้อเท็จจริงอื่นๆรอบตัว ข้าไม่สน!! บอกว่าเป็นไปไม่ได้ ก็คือเป็นไปไม่ได้”

อีกอย่างนะ ช่องทางหลักของรายย่อยในการเก็บเกี่ยวข้อมูลทุกวันนี้ก็มาจากสื่อ

ดังนั้นถ้ามีใครมันบังอาจเข้ามาตัดตอนข้อมูลข่าวสารที่เป็นประโยชน์เหล่านี้ ก็เท่ากับเป็นการผลักไสรายย่อยออกจากตลาดหุ้นอย่างอำมหิต ผิดมนุษย์มนา

ซึ่งถ้าเป็นเช่นนั้นจริง ก็เท่ากับว่า ผู้อยู่เบื้องหลังของเรื่องนี้ต้องการให้มีแค่นักลงทุนบางกลุ่มเข้ามามีบทบาทในตลาดหุ้นเท่านั้น

แน่นอนว่า มันย่อมหนีไม่พ้นพวก นักลงทุนสถาบัน และ นักลงทุนขาใหญ่ ทั้งหลาย

เพราะท้ายที่สุดแล้ว ก็จะมีแค่นักลงทุน 2 กลุ่มนี้เท่านั้น ที่สามารถเข้าถึงผู้บริหารบริษัทจดทะเบียนได้โดยตรง

โดยไม่ต้องไปรับรู้ข้อมูลข่าวสารผ่านสื่อผ่านหมาที่ไหนให้เสียเวลาเหมือนรายย่อย มิหนำซ้ำยังอาจจะกลายเป็นประเด็นพาซวยเข้าตนอีกต่างหาก

ถามจริงเหอะ นี่ไม่คิดจะให้รายย่อยได้พบกับความเจริญรุ่งเรื่องจากตลาดหุ้นกันบ้างเลยหรือไง??

จะบอกให้ว่า การกำหนดบทลงโทษ ผู้บริหารเฮงซวย และ สื่อหิวเงิน นั้นถือเป็นเรื่องดี ต้องสนับสนุนเป็นอย่างยิ่ง

เพราะปัจจุบัน หากมีการให้ข่าวอะไรที่ดูจะเหลือเชื่อเกินจริง ตลท. หรือ ก.ล.ต. ก็แค่เรียกให้ชี้แจง ไม่ได้มีการลงโทษอะไรจริงจังทางอาญา

หากแต่การกำหนดบทลงโทษ นั้นควรจะมีไว้สำหรับจัดการเป็นรายกรณีไป ไม่ควรจะออกมาเป็นข้อกำหนดแบบเหมารวม ห้ามทำเลย

บอกให้เลย ถ้าจะดันเรื่องนี้ให้ออกมาจนสำเร็จเหมือนที่ตั้งเป้าไว้ นักลงทุนรายย่อยจะถูกบีบออกจากตลาดทุนไปเรื่อยๆ

ส่วนที่เหลืออยู่ ก็ต้องหาพึ่งพาข้อมูลข่าวสาร (ลือ) ตามสื่อสังคมออนไลน์หรือหน้าเพจของพวกทำตัวเป็นเกจิอาจารย์

คิดดูซิ ถ้านักลงทุนต้องพึ่งข้อมูลที่ไม่มีแหล่งที่มาที่ไปชัดเจน มีความน่าเชื่อถือ หรือ Credibility ต่ำ แล้วโลกแห่งการลงทุนมันจะพังพินาศฉิบหายกันขนาดไหน

Back to top button