SET มี upside จำกัด หลังขาดปัจจัยใหม่และจับตาความเสี่ยงภูมิรัฐศาสตร์

InnovestX มองว่าความเสี่ยงภูมิรัฐศาสตร์ในตะวันออกกลางรุนแรงขึ้นหลังจาก อิหร่านยิงขีปนาวุธใส่อิสราเอล หลังจากที่ฮัสซัน นัสรัลลอฮ์ ถูกสังหารโดยอิสราเอล


InnovestX มองว่าความเสี่ยงภูมิรัฐศาสตร์ในตะวันออกกลางรุนแรงขึ้นหลังจาก อิหร่านยิงขีปนาวุธประมาณ 200 ลูกใส่อิสราเอล หลังจากที่ฮัสซัน นัสรัลลอฮ์ (Hassan Nasrallah) ผู้นำเฮซบอลลาห์ ถูกสังหารโดยอิสราเอลในการโจมตีทางอากาศที่เบรุต ขณะที่กองทัพอิสราเอลได้เริ่มการบุกทางภาคพื้นดินเข้าสู่เลบานอน เพื่อทำลายโครงสร้างทางการทหารของเฮซบอลลาห์

ทั้งนี้ InnovestX มองว่า แม้ความเสี่ยงในระยะสั้นจะดูรุนแรงขึ้น แต่ในช่วงกว่า 1 ปีที่ผ่านมา หลังสถานการณ์ในตะวันออกกลางรุนแรงขึ้น มีผู้นำของกลุ่มต่อต้านอิสราเอลถึง 3 ท่าน อันได้แก่ โมฮัมเหม็ด เดอีฟ (Mohammed Deif) หัวหน้าปีกทหารของฮามาส, ฮัสซัน นัสรัลลอฮ์, และประธานาธิบดีอิบราฮิม ไรซี (Ebrahim Raisi) ของอิหร่าน ทำให้แกนนำกลุ่มต่อต้านอิสราเอลอ่อนกำลังลง

ขณะเดียวกัน InnovestX มองว่า สถานการณ์ในตะวันออกกลางน่าจะไม่เพิ่มความรุนแรงขึ้นมากกว่าปัจจุบันมากนัก เนื่องจากอิสราเอลประสบความสำเร็จในการโจมตีที่ผ่านมา และทำให้ภัยคุกคามต่อความมั่นคงลดลงได้ระดับหนึ่ง อย่างไรก็ตาม ต้องจับตาว่าการตอบโต้ด้วยการยิงขีปนาวุธจะรุนแรงจนกระทบโครงการพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์หรือไม่

ในส่วนของราคาน้ำมัน InnovestX มองว่า ความรุนแรงล่าสุดทำให้เกิด War premium ประมาณ 5 ดอลลาร์ ขณะที่ในปัจจุบัน ปริมาณการผลิตในกลุ่มโอเปกทรงตัวอยู่ที่ประมาณ 26.5 ล้านบาร์เรลต่อวันตั้งแต่ต้นปี โดยผู้ที่คงกำลังการผลิตเป็นหลักได้แก่ ซาอุดีอาระเบีย ยังคงกำลังการผลิตที่ 9 ล้านบาร์เรลต่อวันในปัจจุบัน ขณะที่ผู้ผลิตอื่น เช่น อิหร่าน UAE และอิรัก เพิ่มกำลังการผลิตเล็กน้อย ทำให้ InnovestX คาดว่า หากสถานการณ์รุนแรงขึ้น อาจทำให้ซาอุฯ เพิ่มกำลังการผลิตเพื่อรักษาเสถียรภาพราคาและเพิ่มรายได้เข้าประเทศ ซึ่งสถานการณ์ดังกล่าว ไม่น่าจะทำให้เงินเฟ้อเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ

ส่วนของตลาดหุ้นไทย InnovestX มองช่วงสั้น SET จะแกว่งตัว sideway โดยมี upside จำกัด เนื่องจากในประเทศขาดปัจจัยหนุนใหม่เพิ่มเติม โดยอยู่ระหว่างรอความชัดเจนเรื่องทิศทางดอกเบี้ยของ ธปท. และนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ ซึ่งอาจถูกหักล้างด้วยความผันผวนของค่าเงินบาทในระยะสั้น ซึ่งทำให้ Fund Flow กลับมาไหลออกจากตลาดหุ้นไทย ขณะที่ปัจจัยภายนอกมองว่าเงินเฟ้อสหรัฐฯ จะไม่ส่งผลต่อตลาดการเงินมากนัก โดยคาดทิศทางดอกเบี้ยของเฟดในช่วงที่เหลือของปีนี้จะยังไม่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม ดังนั้นกลยุทธ์ลงทุนจึงแนะนำให้ Selective Buy” ใน 4 ธีมหลักที่มีปัจจัยบวกเฉพาะตัว ดังนี้

  1. ธีม Earning Play สำหรับนักลงทุนระยะกลางที่ต้องการหุ้นพื้นฐานดีที่กำไรไตรมาส 3/67 คาดมีโมเมนตัมเติบโตเมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน (YoY) และจากไตรมาสก่อน (QoQ) เลือก BEM, BCH, BDMS, GULF, TRUE 
  2. หุ้นที่คาดได้อานิสงส์จากกองทุนวายุภักษ์รอบใหม่ โดยเลือกหุ้น SET100 ที่มีคุณสมบัติ 1) จ่ายเงินปันผลดี โดยให้ Dividend Yield ขั้นต่ำปีละ 3.5% 2) มี ESG Rating สูงตั้งแต่ระดับ A-AAA และ CG ระดับ 5 ดาว และ 3) มีฐานะการเงินแข็งแกร่ง และผลประกอบการมีแนวโน้มเติบโตได้ในปี 2025 เลือก KTB, BBL, BCP, ADVANC, HMPRO
  3. นักลงทุนที่ต้องการหุ้นเก็งกำไรซึ่งคาดได้อานิสงส์จากแนวโน้มดอกเบี้ยขาลง แนะนำ กลุ่มเช่าซื้อ (MTC, TIDLOR) กลุ่มอสังหาฯ (AP, SIRI) กลุ่มค้าปลีก (CPALL) กลุ่มโรงไฟฟ้า (GULF) กลุ่ม Reits (LHHOTEL, DIF)
  4. ราคาน้ำมันดิบ Brent ฟื้นตัว จากความกังวลสถานการณ์ในตะวันออกกลางจะลุกลามเป็นวงกว้าง โดยประเมินกรอบราคา 75-85 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ซึ่งมองยังสามารถมีหุ้นน้ำมันสำหรับป้องกันความเสี่ยง (Hedging) ได้ ดังนั้นนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้สูง จึงยังคงเลือกหุ้นน้ำมันขั้นต้นอย่าง PTTEP

สุกิจ อุดมศิริกุล

Back to top button