TATG เทรดวันแรก! โบรกชี้กำไรปี 67 โต 78% เคาะเป้าสูง 1.98 บาท

TATG ลงสนามเทรดวันแรก! โบรกมองกำไรสุทธิปี 67 แตะ 82.80 ล้านบาท เติบโต 77.50% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน โดยให้ราคาเป้าหมาย 1.77-1.98 บาทต่อหุ้น


ผู้สื่อข่าวรายงานว่าวันนี้ (8 ต.ค.67) ว่าหลักทรัพย์ บริษัท ไทย ออโต ทูลส์ แอนด์ ดาย จำกัด (มหาชน) หรือ TATG ได้เข้าทำการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) ภายใต้กลุ่มสินค้าอุตสาหกรรม

สำหรับ TATG มีทุนชำระแล้วหลังเสนอขาย 400 ล้านบาท มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาท เสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนต่อประชาชนเป็นครั้งแรก จำนวนรวม 100 ล้านหุ้น โดยเสนอขายต่อบุคคลตามดุลยพินิจของผู้จัดจำหน่ายหลักทรัพย์ ผู้มีอุปการคุณของบริษัทและบริษัทย่อย และกรรมการ ผู้บริหาร และพนักงานบริษัทและบริษัทย่อย ระหว่างวันที่ 30 กันยายน – 2 ตุลาคม 2567 ในราคาหุ้นละ 1.25 บาท คิดเป็นมูลค่าการเสนอขาย IPO 125 ล้านบาท มูลค่าหลักทรัพย์ ณ ราคา IPO 500 ล้านบาท

ทั้งนี้ การกำหนดราคาเสนอขายหุ้น IPO พิจารณาอัตราส่วนราคาหุ้นต่อกำไรสุทธิต่อหุ้น (Price to Earnings Ratio: P/E Ratio) เท่ากับ 5.2 เท่า ซึ่งคำนวณจากกำไรสุทธิ 12 เดือนย้อนหลัง (ตั้งแต่วันที่ 1 ก.ค.66 ถึงวันที่ 30 มิ.ย.67) หารด้วยจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและชำระแล้วภายหลังการเสนอขายหุ้นในครั้งนี้ (fully diluted) จะได้กำไรสุทธิต่อหุ้นเท่ากับ 0.24 บาท โดยมี บริษัท ที่ปรึกษา เอเซีย พลัส จำกัด เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด เป็นผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย

โดย TATG และบริษัทย่อยประกอบธุรกิจหลัก 2 ประเภท ได้แก่ (1) ธุรกิจออกแบบและผลิตเครื่องมือสำหรับอุตสาหกรรมรถยนต์ (Tooling) อาทิ แม่พิมพ์ปั๊มขึ้นรูปโลหะ (Stamping Dies) อุปกรณ์จับยึดเพื่อการตรวจสอบ (Checking Fixtures) อุปกรณ์จับยึดเพื่อการประกอบ (Assembly Jigs) และ (2) ธุรกิจผลิตชิ้นส่วนรถยนต์แบบปั๊มขึ้นรูปโลหะ (Automotive Press Parts) ซึ่งได้นำเทคโนโลยีและเครื่องจักรที่ทันสมัยตั้งแต่ขนาด 200 – 2,000 ตัน มาใช้ในการผลิตอย่างมีประสิทธิภาพ สำหรับการผลิตในปริมาณมาก (Mass Production) รวมถึงการนำระบบชุบเคลือบสีด้วยไฟฟ้า EDP (Electro Deposition Paint) มาใช้เพื่อให้ชิ้นส่วนมีคุณภาพและทนทานต่อการกัดกร่อนได้ดีขึ้น โดยเตรียมรองรับอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า หลังจากลงทุนในการวิจัยและพัฒนาแม่พิมพ์โลหะที่สามารถใช้ในการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าทั้งในปัจจุบันและอนาคต

ด้าน ดร.พยุง ศักดาสาวิตร  ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร TATG เปิดเผยว่า บริษัทฯ มีเป้าหมายก้าวสู่การเป็นผู้นำอุตสาหกรรมการผลิตแม่พิมพ์โลหะ อุปกรณ์จับยึด และการผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ คุณภาพสูงในภูมิภาคเอเชีย  ด้วยจุดแข็งที่มีทีมผู้บริหารและทีมงานมีความเชี่ยวชาญและมีประสบการณ์ในธุรกิจรถยนต์ยาวนานกว่า 30 ปี บริษัทมีความพร้อมทั้งด้านเทคโนโลยี ฐานการผลิตที่ทันสมัย ได้มาตรฐานสากล มีการบริการแบบครบวงจร (One Stop Service) ทำให้ได้รับการยอมรับและไว้วางใจจากลูกค้า ที่เป็นแบรนด์ผู้ผลิตรถยนต์ชั้นนำและผู้ผลิตชิ้นส่วนรถยนต์รายใหญ่มาอย่างต่อเนื่อง เพื่อเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต

ขณะที่การเติบโตจากการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีของอุตสาหกรรมรถยนต์ ที่กำลังเปลี่ยนผ่านสู่การผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ไฟฟ้า บริษัทจึงได้ยกระดับสายการผลิตให้เป็นระบบอัตโนมัติเพื่อรองรับการแข่งขันที่จะเกิดขึ้นในอนาคต สำหรับเงินที่ได้จากการระดมทุนนั้น จะมีการจัดสรรไปใช้ลงทุนเครื่องจักรเพิ่มเติมเพื่อยกระดับองค์กรสู่มาตรฐานสากล อีกทั้งเงินส่วนหนึ่งจะนำไปใช้ชำระคืนเงินกู้ยืมจากสถาบันการเงินช่วยให้ต้นทุนการเงินต่ำลง และที่เหลือใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินกิจการ” ดร.พยุง กล่าวทิ้งท้าย

อนึ่ง TATG มีผู้ถือหุ้นใหญ่หลัง IPO คือ กลุ่มครอบครัวศักดาสาวิตร ถือหุ้นร้อยละ 33.5 กลุ่มครอบครัวหฤทัย ถือหุ้นร้อยละ 25.2 และกลุ่มครอบครัวเหล่าสินชัย ถือหุ้นร้อยละ 9.3 บริษัทมีนโยบายจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นในอัตราไม่น้อยกว่าร้อยละ 40 ของกำไรสุทธิของงบการเงินเฉพาะกิจการภายหลังจากหักภาษีและเงินทุนสำรองตามกฎหมาย

โดย บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด คาดการณ์กำไรปี 67 อยู่ที่ 98 ล้านบาท โดยกำไรครึ่งแรกปี 67 คิดเป็นสัดส่วน 46% ของประมาณการทั้งปี ส่วนครึ่งหลังปี 67 ราวประมาณ 53 ล้านบาท

ส่วนแนวโน้มอัตรากำไรขั้นต้น Gross margin (GPM) ดีขึ้น และกำไรปี 68 อยู่ที่ 109 ล้านบาท เพิ่ม 11% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนจากยอดขาย, GPM และดอกเบี้ยจ่ายลดลง ตามแผนการชำระคืนหนี้หลังไอพีโอ

โดยประเมินยอดขายปี 67 ไว้ที่ 2,800 ล้านบาท ซึ่งยอดขายครึ่งแรกของปี 67 คิดเป็นสัดส่วน 48% ของประมาณการ) ลดลง 7% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน และปี 68-69 คาดการณ์เติบโตเฉลี่ย 5% เป็นไปในทิศทางเดียวกับยอดผลิตรถยนต์ ตามที่ได้กล่าวในช่วงก่อนหน้า

ด้าน GPM คาดการณ์ปี 67 ไว้ที่ 11.20% สอดคล้องกับครึ่งแรกปี 67 และปี 68-69 ที่ 11.30% – 11.400% ตามลำดับ ขยับขึ้นจาก Economies of scale สำหรับสัดส่วนค่าใช้จ่าย (SG&A/Sales) ปี 67 อยู่ที่ 5.1% ใกล้เคียงแรกปี 67 ขณะที่ปี 68-69 ประเมินอย่างอนุรักษ์นิยมที่ 5.4% เท่ากับค่าเฉลี่ยปี 63-66

โดยประเมินมูลค่าหุ้นอิง PER 6.5 เท่า ได้ FV ปี 67 ที่ 1.77 บาท ซึ่งฝ่ายวิจัยมอง TATG มีจุดน่าสนใจจากทิศทางกำไรปี 67 เติบโตสูงกว่ากลุ่ม ประกอบกับยอดผลิตรถยนต์ไทย หลังจากหดตัวในช่วงก่อนหน้า มีแนวโน้มทยอยฟื้นตัวปีหน้า ตามการเบิกจ่ายงบประมาณและมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจภาครัฐ ขณะที่ PER ที่ใช่ในการประเมินมูลค่าพื้นฐานข้างต้น ถือว่าไม่แพงเมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ย PER หุ้นในกลุ่ม

ด้าน บริษัทหลักทรัพย์ โกลเบล็ก จำกัด ระบุประมาณการรายได้ปี 67 ราว 3,211.30 ล้านบาท เติบโต 7% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน และในปี 68 อยู่ที่ 3,436.10 ล้านบาท เติบโต 7% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน ตามลำดับ

พร้อมคาดการณ์กำไรสุทธิปี 67 อยู่ที่ระดับ 82.80 ล้านบาท เติบโต 77.50% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน และ คาดการณ์กำไรสุทธิในปี 68 อยู่ที่ 102.90 ล้านบาท เติบโต 24.3% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน โดยประเมินราคาเหมาะสมในปี 68 ของ TATG ราว 1.98 บาทต่อหุ้น

Back to top button