6 วันสถาบันซื้อ 1.89 หมื่นล.

นับจากวันที่ 1 ตุลาคม 2567 นักลงทุนสถาบันซื้อสุทธิในตลาดหุ้นไทยแล้วกว่า 18,983 ล้านบาท ถือเป็นการสวนทางกับนักลงทุนต่างประเทศ


นับจากวันที่ 1 ตุลาคม 2567

นักลงทุนสถาบันซื้อสุทธิในตลาดหุ้นไทยแล้วกว่า 18,983 ล้านบาท

ถือเป็นการสวนทางกับนักลงทุนต่างประเทศที่ขายสุทธิต่อเนื่องมา 6 วันเช่นกันรวมแล้ว 12,370 ล้านบาท

แรงซื้อของนักลงทุนสถาบัน มีการวิเคราะห์กันว่า หลัก ๆ (หรืออาจจะทั้งหมด) น่าจะมาจากเม็ดเงินของกองทุนรวมวายุภักษ์หนึ่งนั่นแหละ

หากเป็นแรงซื้อของวายุภักษ์ทั้งหมดจริง

เท่ากับว่ามีการเข้ามาซื้อหุ้นไทยแล้วประมาณ 1.9 หมื่นล้านบาท

มีการดีดลูกคิดคำนวณกำไรที่กองทุนฯ ได้รับแล้ว น่าจะอยู่ประมาณกว่า 100 ล้านบาท

หุ้นที่วายุภักษ์ฯ เข้าซื้อ ส่วนใหญ่เป็นหุ้นที่นักวิเคราะห์ได้แนะนำกันมาก่อนหน้านี้แล้ว ซึ่งจะเป็นหุ้นที่เป็นลีดเดอร์ในอุตสาหกรรมนั้น ๆ

เช่น กลุ่มธนาคาร นำโดย แบงก์กรุงไทย หรือ KTB

ในหุ้นกรุงไทย เราจะเห็นแรงซื้อเข้ามาชัดเจนมาก เพราะมาทั้งวอลุ่มเทรด และราคาที่ขยับขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ

และเข้าใจว่า วายุภักษ์ น่าจะเข้าไปเก็บหุ้นที่มีคุณสมบัติตามเกณฑ์การลงทุนอีกหลายหุ้น และต่างชาติได้มีการปรับพอร์ตและทยอยขายออกมาด้วย

คำถามคือว่า แล้วกองทุนวายุภักษ์จะซื้อไปต่อเนื่องแค่ไหน

คำถามนี้ ต้องย้อนกลับไปดูเม็ดเงินของกองทุนฯ

ล่าสุด ที่มีการเผยออกมาคือ 1.5 แสนล้านบาท บวกกับสภาพคล่องส่วนเกินจากกองทุนเดิมอีก 4 หมื่นล้านบาท

เท่ากับว่า กองทุนฯ มีกระสุนอยู่กว่า 1.9 แสนล้านบาท

ตอนนี้เพิ่งจะซื้อไปประมาณ 1.89 หมื่นล้านบาท

จึงยังเหลือเงินอีกค่อนข้าเยอะพอสมควร และน่าจะรับมือกับแรงขายของต่างชาติได้ (เพราะแรงขายเริ่มเบาลง)

ล่าสุด ผู้บริกหารกองทุนฯ ออกมาบอกแล้วว่า จะมีการจ่ายเงินปันผลในงวดของไตรมาส 4/2567 ในอัตราผลตอบแทนที่ไม่ต่ำกว่า 3% หรือหากเป็นไปได้ อาจจะได้มากกว่านั้น

และการจ่ายปันผลจะมีขึ้นในช่วงต้นปี 2568 หรือประมาณเดือนกุมภาพันธ์ 2568

มีความเป็นไปได้อีกว่า เงินปันผลที่ได้รับนั้น อาจจะมาจากกองทุนประเภท “ข” (เพราะมีหุ้นในมืออยู่แล้ว)

หรืออาจจะมาจากกำไรจากการลงทุนหุ้นที่เพิ่งเข้าไปซื้อมาก็ได้

ประเด็นที่น่าสนใจคือ กองทุนฯ หากไม่จำเป็นจริง ๆ เขาคงไม่อยากจะถือเงินสดในมือมากเกินไป

จึงมีการนำไปพักไว้ในตลาดเงินที่สามารถไถ่ถอนได้ทันทีเมื่อต้องการ

แต่อย่างที่เรารับรู้กันว่า ผลตอบแทนในตลาดเงินไม่ได้สูงมากนัก ประกอบกับเป้าหมายของวายุภักษ์ฯ จริง ๆ คือการลงทุนในตลาดหุ้น

ดังนั้น กองทุนฯ น่าจะทยอยเก็บหุ้นไปเรื่อย ๆ เป็นหลักมากกว่า

แต่ไม่ใช่หมายความว่า  พอเห็นวายุภักษ์ฯ เข้ามาเก็บหุ้น แล้วดัชนีจะต้องเป็นบวกเสมอไป

เพราะหากย้อนกลับไปดูในช่วง 6 วันที่ผ่านมา

เช่น วันที่ 2 ตุลาคม 67 ดัชนี SET ปิดลบ 13.26 จุด แต่นักลงทุนสถาบันกลับซื้อในวันนั้นมากถึง 4,655 ล้านบาท

เช่นเดียวกับวันที่ 3 ตุลาคม หรือวันถัดมา ดัชนีลง 8.67 จุด แต่สถาบันยังซื้อสุทธิ 2,741 ล้านบาท

ผ่านมาถึงตอนนี้ หากจะเล่นหุ้นให้ปลอดภัย เข้าเขตเซฟโซนได้ดี น่าจะต้องเข้าไปเก็บหุ้นที่เป็นเป้าของกองทุนฯ บวกกับซื้อหน่วยลงทุนของกองทุนวายุภักษ์ควบคู่ไปด้วยยิ่งดี

ถือซะว่าเป็นการกระจายความเสี่ยง

ธนะชัย ณ นคร

Back to top button