ดูให้ชัด! 6 หุ้นอาการร่อแร่เดือนเดียวร่วงเกือบ 30%

คัด 6 หุ้นรายตัวอาการร่อแร่ ราคาเดือน ม.ค. ร่วงแรง ปรับตัวลง 15-30% สาเหตุหลักเข้าช่วงโลว์ซีซั่นของธุรกิจ งานหาย-รายได้หด คราวนี้ต้องดูข้อมูลพื้นฐานกันยาวๆ ว่าจะมีข่าวดีหนุนหุ้นให้รีเทิร์นได้หรือไม่


คัด 6 หุ้นรายตัวอาการร่อแร่ ราคาเดือน ม.ค. ร่วงแรง ปรับตัวลง 15-30% สาเหตุหลักเข้าช่วงโลว์ซีซั่นของธุรกิจ งานหาย-รายได้หด คราวนี้ต้องดูข้อมูลพื้นฐานกันยาวๆ ว่าจะมีข่าวดีหนุนหุ้นให้รีเทิร์นได้หรือไม่

ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์” ได้ทำการสำรวจหุ้นจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยใน SET โดยใช้เกณฑ์คัดเลือกจากหุ้นที่มีการปรับตัวลงเกิน 20% ในช่วงวันที่ 30 ธันวาคม 58 ถึงวันที่ 29 มกราคม 59 ซึ่งเป็นช่วงที่ตลาดหุ้นผันผวนเป็นอย่างมาก จากการสำรวจพบว่าหุ้นที่ปรับตัวลงเกิน 15% มีดังนี้

 

 

อันดับแรก เริ่มต้นที่ บริษัท ดีคอนโปรดักส์ จำกัด (มหาชน)หรือ DCON ผู้ดำเนินธุรกิจผลิตและจัดจำหน่ายแผ่นพื้นและเสาเข็มอัดแรงภายใต้ชื่อตราสินค้า “DCON”

โดยเมย์แบงก์ กิมเอ็ง ระบุในบทวิเคราะห์ คาดกำไรไตรมาส 4/58 จะอ่อนแอลง ขณะเดียวกันผู้บริหารยังมีมุมมองด้านลบต่อแนวโน้มอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์รวมจะยังต่อเนื่องในปี 2559-2560 ซึ่งจะส่งผลลบต่อยอดขายแผ่นพื้นสำเร็จรูป และ เสาเข็ม  แต่กำไรของ DCON ในปี 2558-2560 คาดจะประคองตัวที่ประมาณ 170 ล้านบาท  ราคาหุ้นปัจจุบันทรุดลงจนมีระดับอัตราเงินปันผลตอบแทนที่น่าสนใจ 7.4%  ดังนั้น จึงอัพเกรดคำแนะนำเพิ่มเป็น TRADING BUY จากเดิม ขาย

ขณะที่ราคาหุ้น DCON ปิดตลาด(1 ก.พ.) ราคาอยู่ที่ 0.51 บาท บวก 0.01 บาท หรือ 2.00% มูลค่าการซื้อขาย 2.73 ล้านบาท

 

อันดับ 2 บริษัท เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป จำกัด (มหาชน)หรือ MAJOR ผู้ดำเนินธุรกิจให้บริการด้านโรงภาพยนตร์ชั้นนำในประเทศไทย

โดยบล.โนมูระ พัฒนสิน ระบุในบทวิเคราะห์ว่า คาดแนวโน้มกำไรไตรมาส 4/58 กำไรปกติลดลง 3% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน และลดลง 16% เทียบไตรมาสก่อนหน้าอยู่ที่ 176 ล้านบาท และกำไรสุทธิลดลง 15% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน และลดลง 49% เทียบไตรมาสก่อนหน้า

เนื่องจากมีภาพยนตร์ทำรายได้สูงลดลง และไม่มีกำไรพิเศษเหมือนกับไตรมาสก่อนหน้ามีความกังวลต่อแผนการเร่งขยายสาขาของ MAJOR มากขึ้น เนื่องจากรายได้เติบโตไม่ทันกับค่าใช้จ่ายที่เพิ่มทำให้อัตราการทำกำไรของธุรกิจขายตั๋วชมภาพยนตร์หดตัว เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน ต่อเนื่องตลอดทั้งปี 58

ขณะที่ราคาหุ้น MAJOR ปิดตลาดอยู่ที่ 29.50 บาท บวก 1.50 บาท หรือ 5.36% มูลค่าการซื้อขาย 53.99 ล้านบาท

 

อันดับที่ 3 บริษัท ยูนิค เอ็นจิเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ UNIQ ผู้ดำเนินธุรกิจรับเหมาก่อสร้างชั้นนำในประเทศไทย

โดย บล.บัวหลวง ระบุในบทวิเคราะห์ว่า คาดกำไรไตรมาส 4/58 สูงสุดในรอบปี ขณะที่มองว่าราคาหุ้นที่ปรับตัวลงมาราว 17% จากจุดสูงสุดที่ราว 22 บาท เป็นเพราะความผิดหวังที่บริษัทไม่ได้รับงานรถไฟรางคู่ 2 เส้นทางที่มีการประมูลในช่วงปลายปีที่แล้ว โดยที่มองว่ารถไฟรางคู่ 6 เส้นที่แรกที่จะออกประมูลยังคงเหลืออีก 4 เส้นทางที่จะประมูลต่อไป และยังคงคาดบริษัทจะได้รับงาน 1 เส้นทาง

ขณะที่ราคาหุ้น UNIQ ปิดตลาดอยู่ที่ 18.10 บาท บวก 0.50 บาท หรือ 2.84% มูลค่าการซื้อขาย 97.10 ล้านบาท

 

อันดับที่ 4 บริษัท ทิปโก้แอสฟัลท์ จำกัด (มหาชน) หรือ TASCO ผู้ดำเนินธุรกิจผลิตยางมะตอย

โดยบล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส ระบุในบทวิเคราะห์ว่า คาดกำไรไตรมาส 4/58 อาจจะไม่สามารถทำสถิติสูงสุดได้ พร้อมปรับประมาณการปี 58 และ 59 ลงในอัตรา 10% และ 12% หลังได้มีการปรับลดคาดการณ์รายได้ โดยปี 58 ปรับลดปริมาณขายลงเป็น 2.29 ล้านตัน เทียบกับก่อนหน้าที่ 2.37 ล้านตัน ด้านราคาขายก็มีการอ่อนลง 22 ม.ค.59 เป็น 314 เหรียญ เทียบกับ พ.ย.58 ที่ 333 เหรียญต่อตัน

ขณะที่ราคาหุ้น TASCO ปิดตลาดอยู่ที่ 32.00 บาท ลบ 1.25 บาท หรือ 3.76% มูลค่าการซื้อขาย 763.76 ล้านบาท

 

อันดับที่ 5 บริษัท อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) หรือ ANAN ผู้ดำเนินธุรกิจโครงการอสังหาริมทรัพย์ ที่พักอาศัย คอนโด บ้าน

โดยผู้บริหาร ANAN คาดว่ารายได้ในปีนี้จะทำได้ตามเป้าหมายที่ 1.05 หมื่นล้านบาท โดยจะมีการโอนโครงการอีก 5.7 พันล้านบาทในช่วงครึ่งปีหลัง จากมูลค่ายอดขายรอโอน (Backlog)ทั้งหมดที่มีในปัจจุบันที่ 3.6 หมื่นล้านบาท โดยส่วนที่เหลือจะทยอยโอนไปถึงปี 62 ซึ่งในช่วงครึ่งปีแรกบริษัทได้มีการโอนไปแล้ว 2.93 พันล้านบาท

ขณะที่ราคาหุ้น ANAN ปิดตลาดอยู่ที่ 3.46 บาท ไม่เปลี่ยนแปลงจากวันก่อนหน้า มูลค่าการซื้อขาย 21.64 ล้านบาท

 

อันดับที่ 6 บริษัท เธียรสุรัตน์ จำกัด (มหาชน) หรือ TSR ผู้ดำเนินธุรกิจผลิตและจำหน่ายเครื่องกรองน้ำซึ่งเริ่มจากเครื่องกรองน้ำ แบบท่อคู่ และได้พัฒนาเรื่อยมาจนเป็นเครื่องกรองน้ำ ที่มีระบบการกรองหลายขั้นตอน เพื่อให้น้ำที่ผ่านการกรองมีคุณภาพ

ทั้งนี้ ล่าสุดบริษัทได้ออกและเสนอขายใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นสามัญของบริษัท ครั้งที่ 1 หรือ TSR-W1 จำนวนไม่เกิน 200,666,667 หน่วยให้กับผู้ถือหุ้นสามัญเดิมโดยไม่คิดมูลค่า อัตราส่วน (หุ้นเดิม : หลักทรัพย์แปลงสภาพ) 2 : 1

ขณะที่ราคาหุ้น TSR ปิดตลาดอยู่ที่ 6.20 บาท ไม่เปลี่ยนแปลงจากวันก่อนหน้า มูลค่าการซื้อขาย 2.14 ล้านบาท

 

*อนึ่ง ข้อมูลที่มีการนำเสนอข้างต้น เป็นเพียงข้อแนะนำจากข้อมูลพื้นฐานเพื่อประกอบการตัดสินใจของนักลงทุนเท่านั้น และมิได้เป็นการชี้นำ หรือเสนอแนะให้ซื้อหรือขายหลักทรัพย์ใดๆ การตัดสินใจซื้อหรือขายหลักทรัพย์ใดๆ ของผู้อ่าน ไม่ว่าจะเกิดจากการอ่านบทความในเอกสารนี้หรือไม่ก็ตาม ล้วนเป็นผลจากการใช้วิจารณญาณของผู้อ่าน

Back to top button