ฝรั่งตบตอนเผลอ
นับตั้งแต่ไตรมาส 2 ปี 67 “โมนิก้า” มีความเชื่อมาตลอดว่า ดัชนีจะไต่ระดับจากระดับ 1,350 จุดขึ้นไปยืนเหนือแนวต้าน 1,400 จุดแบบสบาย
นับตั้งแต่ไตรมาส 2 ปี 67 “โมนิก้า” มีความเชื่อมาตลอดว่า ดัชนีจะไต่ระดับจากระดับ 1,350 จุดขึ้นไปยืนเหนือแนวต้าน 1,400 จุดแบบสบาย และยังมั่นใจอีกว่า ดัชนีจะขึ้นไปยืนเหนือบริเวณ 1,450 จุดได้ไม่ยาก แต่ก็มีจุดท้าทายอยู่ตรงแนวต้าน 1,500 จุด จนสุดสัปดาห์ที่ผ่านมาก็เชื่อมั่นว่า สถานีถัดไปอยู่ที่ระดับ 1,550 จุด เพราะนักลงทุนที่เป็นกองทุนยังเดินหน้าซื้อหุ้นต่อเนื่องไงล่ะจ๊ะ
เมื่อนำประเด็นดังกล่าวมาร้อยเรียงกับปัจจัยบวกต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องลดดอกเบี้ย และธุรกิจต่าง ๆ เข้าสู่ช่วงไฮซีซั่น รวมทั้งมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล ล้วนเป็นข้อมูลที่ทำให้ “โมนิก้า” ยังมองโลกของการลงทุนในแง่บวกแบบสุดซอย เพราะเรื่องราวดังกล่าวส่งผลดีต่อความสามารถในการทำกำไรของบริษัทจดทะเบียน เลยไม่มีเหตุผลที่ทำให้เดี๊ยนต้องกลัวจนตัวสั่นเจ้าค่ะ
กระทั่งมาเห็นต่างชาติเริ่มปฏิบัติการขายหุ้นหนักอีกครั้ง “โมนิก้า” เลยต้องหยุดคิดนิดหนึ่งว่า ดัชนีจะขึ้นมายืนเหนือแนวต้าน 1,500 จุดได้อย่างแข็งแกร่งไหม? เพราะตลาดหุ้นเริ่มออกอาการรวนให้เห็นหลังขึ้นแรง แต่ถ้ามองในแง่บวกก็ถือเป็นการทดสอบแรงขายธรรมดา ๆ แต่ถ้ามองในแง่ลบก็ถือเป็นสัญญาณเตือนการฝ่าแนวต้านไม่ใช่เรื่องง่าย และต้องเฝ้าดูว่า ดัชนีจะย่อตัวลงมาตรงจุดไหน หลังดัชนียืนปิดที่ 1,489.82 จุด ลบไป 5.20 จุด ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 6.46 หมื่นล้านบาทค่ะ
โดยหุ้นตัวแรกที่ “โมนิก้า” ต้องเอ่ยถึงอีกครั้งก็คือ ADVANC เพราะเป็นหุ้นที่ “ขึ้นแรง ขึ้นนาน” ตัวหนึ่ง ส่งผลให้การทรุดตัวลงมาปิดที่ระดับ 282 บาท ลบไป 15 บาท หรือลงไป 5% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 4.97 พันล้านบาท มีคำถามเกิดขึ้นมากมายว่า วันนี้จะเป็นอย่างไร? เพราะเมื่อวันก่อนก็เพิ่งโชว์ฟอร์มอย่างร้อนแรง และหลายคนก็มองว่า หุ้นจะขึ้นไปหาเป้าด้านบนที่นักวิเคราะห์ให้ไว้ แต่สุดท้ายดันตรงกันข้ามล่ะจ๊ะ
ส่วนรายที่มาแบบเนิบ ๆ หลังจากฝ่าด่านแนวต้าน 110 บาทขึ้นได้อย่างยอดเยี่ยม เดี๊ยนต้องโฟกัสไปที่หุ้น DELTA มากเป็นพิเศษ เพราะการขึ้นมาปิดที่ระดับ 130.50 บาท บวกไป 4.50 บาท หรือขึ้นไป 3.60% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 2.06 พันล้านบาท เป็นการทำ all time high เป็นครั้งที่ 3 และเป็นหุ้นที่สถาบันมีไฟต์บังคับต้องเล่น รวมทั้งมีประเด็นเพิ่มกำลังผลิตเข้ามาซัพพอร์ต เลยเชื่อกันว่า หุ้นจะไปต่อนะตัวเอง
สำหรับรายที่น่าแปลกใจจนถึงวันนี้ก็คือ AOT เพราะเป็นหุ้นใหญ่อีกหนึ่งตัวที่ไม่เทคตัวขึ้นยาว ๆ สักที และอาการดังกล่าวก็เป็นมาร่วมเดือนเสียด้วย จนเดี๊ยนเริ่มสงสัยว่า ทำไมราคาหุ้นถึงป้วนเปี้ยนในกรอบ 63-65 บาทนานจังเลย รวมถึงการยืนปิดที่ระดับ 63.75 บาท บวกไป 0.50 บาท หรือขึ้นไป 0.80% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 1.13 พันล้านบาท เหมาะต่อการเข้าไปเล่นตามน้ำไหม?..ใครรู้ช่วยตอบทีเจ้าค่ะ
ประเด็นข้างต้นทำให้ “โมนิก้า” อยากเอ่ยถึงหุ้นเถ้าแก่น้อย TKN ขึ้นมาทันที เพราะอาการพุ่งพรวดขึ้นไปถึงระดับ 11.80 บาทอย่างร้อนแรง ก่อนจะย่อตัวลงมาปิดที่ระดับ 11.40 บาท บวกไป 0.90 บาท หรือขึ้นไป 8.60% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 588 ล้านบาท ไม่ใช่เรื่องใหม่ที่เพิ่งเกิดขึ้นเป็นครั้งแรก เพราะปีนี้มีการพุ่งขึ้นแรงลักษณะนี้เกิดขึ้น 2 ครั้ง จึงต้องติดตามดูกันต่อไปว่า เที่ยวนี้จะซ้ำรอยในอดีตอ๊ะป่าว?
ในเมื่อเม้าท์ถึงความกังวลขึ้นมาทั้งที “โมนิก้า” ก็อยากเอ่ยถึงหุ้น SCAP ที่มีนิสัย “ผลุบ ๆ โผล่ ๆ” ในกรอบราคา 1.80-2.70 บาทเป็นเวลา 2 เดือนขึ้นมาทันที เพราะมองในมุมของผลงานที่มีแต่ “ทรุดกับทรุด” ก็เป็นเรื่องที่ต้องระวังมากเป็นพิเศษ และถ้ามองในมุมของการเทรดบน PE 28 เท่า ก็ต้องคิดหนักเหมือนกัน เดี๊ยนเลยอยากให้นักลงทุนประเมินการยืนปิดเสมอตัวที่ระดับ 2.26 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 128 ล้านบาท น่าเล่นไหมเอ่ย?
ตบท้ายกันที่หุ้น MCOT เพื่อชี้ให้เห็นภาพของบริษัทขี้โรค ซึ่งมีผลขาดทุนเรื้อรัง แต่ราคาหุ้นดันวิ่งคึกเป็นม้านั้น มันเป็นเกมสร้างสตอรี่ เพื่อทำการปั่นหุ้นของคนบางกลุ่ม และสุดท้ายก็จำนนด้วยข้อเท็จจริงที่ว่า ไม่มีอะไรในกอไผ่ ราคาหุ้นถึงทรุดตัวลงมาปิดที่ระดับ 8.70 บาท ลบไป 1.15 บาท หรือลงไป 11.70% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 505 ล้านบาทแบบนี้..บอกได้คำเดียวว่า ไม่ดอย..ก็ขาดทุนยับ..อิอิอิ
โมนิก้า: และทีมงาน