ช้อนหุ้นได้เลย?

สิ่งที่ “โมนิก้า” เชื่ออย่างบริสุทธิ์ใจมาโดยตลอดก็คือ ความสามารถในการทำกำไรต่อหุ้นของทั้งตลาดหุ้นไทยจะเป็นเกราะป้องกันอาการฮาร์ดแลนด์ดิ้ง


สิ่งที่ “โมนิก้า” เชื่ออย่างบริสุทธิ์ใจมาโดยตลอดก็คือ ความสามารถในการทำกำไรต่อหุ้นของทั้งตลาดหุ้นไทยจะเป็นเกราะป้องกันอาการฮาร์ดแลนด์ดิ้ง ซึ่งที่ผ่านมาได้เห็นกันแล้วว่า การเทรดของหุ้นไทย ณ ตอนนี้เทรดบนกำไรต่อหุ้น 82 บาท และเมื่อเทียบกับ PE 18 เท่า ก็จะได้ดัชนีที่บริเวณ 1,476 จุด หรือมองในมุมบวกเพิ่มขึ้นจะเทรดบน PE 19-20 เท่า ก็ขึ้นอยู่กับนักลงทุนส่วนใหญ่มีความคิดเห็นไปทางไหนมากกว่ากันจ้า

ฉะนั้นเมื่อเดี๊ยนลองรวบรวมข้อมูลจากผู้รู้สำนักต่าง ๆ มาประมวลผลเพื่อดูแนวโน้มตลาดหุ้นไทยจะเห็นว่า ปี 67 กำไรต่อหุ้นทั้งตลาดจะอยู่ที่ระดับ 92 บาท และมีแนวโน้มที่ปี 68 จะขยับเพิ่มเป็น 102 ซึ่งเป็นอีกหนึ่งตัวแปรสำคัญที่ทำให้ “โมนิก้า” เชื่อว่า ตลาดหุ้นไทยยังน่าลงทุนสุด ๆ เพราะเมื่อนำตัวเลขข้างต้นมาเทียบช็อตต่อช็อตจะได้ดัชนีที่ระดับ 1,656 จุด และในปีถัดไปดัชนีจะอยู่ที่ 1,836 จุดนะตัวเอง

ประเด็นข้างต้นเหมือนเป็นการย้ำหัวหมุดความเชื่อส่วนตัวของอิฉันว่า นี่เป็นจังหวะของการช้อนหุ้นเข้าพอร์ตอย่างแน่นอน (วันก่อนบอกไว้ว่า มีเส้นแนวรับ 10 วันรอรับที่ 1,472 จุด) โดยเฉพาะคนที่ถนัดลงทุนระยะกลางถึงระยะยาว ย่อมเล็งเห็นการยืนปิดของดัชนีที่ระดับ 1,470.32 จุด ลบไป 18.42 จุด ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 5.70 หมื่นล้านบาท คือโอกาสทองของการลงทุน (ยกเว้นหุ้นที่มาด้วยการเมือง) เพราะปัจจัยหลายอย่างไม่ได้แย่ลงไงล่ะจ๊ะ

โดยเฉพาะในรายของน้องมิ้น MINT ที่มีลักษณะนอนนิ่งร่วมเดือน ถือเป็นช็อตที่น่าสนใจในแง่ของการเข้าสู่ช่วงไฮซีซั่น และตรงจุดนี้ก็ทำให้เชื่อว่า ผลงานไตรมาส 4 จะออกมาดี และจะช่วยดันผลงานทั้งปีให้เป็นไปตามเป้า ผนวกกับในช่วง 1-2 สัปดาห์เริ่มมีแรงซื้อเข้ามาช้อนหุ้นเป็นช่วง ๆ เดี๊ยนเลยมองว่า การยืนปิดที่ระดับ 28.50 บาท ลบไป 0.25 บาท หรือลงไป 0.90% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 523 ล้านบาท น่าสนใจเจ้าค่ะ

เช่นเดียวกับในรายของ WHA ก็เป็นหุ้นที่มีสตอรี่เกี่ยวกับขายที่ดินเพื่อตั้งโรงงานออกมาให้เห็นเรื่อย ๆ แต่จุดหนึ่งที่เป็นไฮไลต์สำหรับก้าวถัดไปก็คือ การที่กูเกิ้ลปักหมุดที่นิคมอุตสาหกรรมแห่งนี้ เพื่อลุยดาต้าเซ็นเตอร์มูลค่า 3.60 หมื่นล้าน ถือเป็นการยกระดับนิคมขึ้นไปอีกขั้น เดี๊ยนถึงมองการยืนปิดที่ 5.65 บาท ลบไป 0.05 บาท หรือลงไป 0.90% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 217 พันล้านบาท ท่ามกลาง PE 14 เท่า ไม่เสี่ยงมากหรอกค่ะ

เมาท์ถึงประเด็นความเสี่ยงขึ้นมาทั้งที “โมนิก้า” ต้องมองไปที่หุ้น CPALL เพื่อชี้ให้เห็นการยืนปิดที่ระดับ 66 บาท ลบไป 1 บาท หรือลงไป 1.50% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 1.85 พันล้านบาท ท่ามกลาง PE 27 เท่า อาจเป็นระดับที่สูงเกินไปหน่อยก็จริง แต่นักลงทุนสถาบันก็ยังซื้อหุ้นเป็นระลอกนั้น ก็มาจากความเชื่อเรื่องเศรษฐกิจฟื้นตัว และกำลังซื้อของประชาชนเพิ่มขึ้น รวมถึงมีเรื่องไฮซีซั่นเข้ามาเป็นกองหนุนแบบนี้..ความมั่นใจล้วน ๆ นะจ๊ะ

อีกรายที่ไม่ได้เอ่ยถึงมาเป็นเวลานาน และมักตกเป็นขี้ปากขาเม้าท์อยู่เนือง ๆ คงต้องหันมามองที่หุ้น KKP เพราะเป็นหุ้นแบงก์ที่แอบขึ้นมาเรื่อย ๆ พร้อมกับมูลค่าการซื้อที่ซัพพอร์ตตลอดเวลา จนวานนี้เห็นหุ้นขึ้นมายืนปิดที่ระดับ 53.75 บาท บวกไป 1 บาท หรือขึ้นไป 1.90% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 316 ล้านบาท ซึ่งเป็นระดับที่ใกล้เคียงกับยอดเก่าช่วงต้นปีที่บริเวณ 55 บาทแบบนี้..เขาเลยตั้งคำถามกันว่า จะขึ้นไปเท่ากับ BV ที่ระดับ 74 บาทไหม?

สถานการณ์ข้างต้นทำให้ “โมนิก้า” ต้องเอ่ยถึงหุ้นที่มาด้วยความหวังกำไรจะโตในไตรมาส 4 อย่างบัตรรูดปรื๊ด KTC กันบ้างดีกว่า เพราะการขึ้นของหุ้นมายืนที่ระดับ 48.25 บาท ลบไป 0.25 บาท หรือลงไป 0.50% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 239 ล้านบาท มันอาจสวนทางกับตัวเลขกำไรที่โตกระจิดริด เพราะเมื่อสำรวจแรงซื้อที่เข้ามาต่อเนื่อง จนหุ้นขึ้นจากก้นเหว 38 บาทมายืน ณ จุดนี้ ก็อาจตีความได้ว่า นักลงทุนให้แวลูกับธุรกิจใหม่ที่บริหารหนี้กระมัง..อิอิอิ

ตบท้ายกันที่หุ้นโรงเรียนของหนู SISB เพื่อชี้ให้เห็นการย่อตัวลงมาเรื่อย ๆ จากที่เคยยืนอยู่ที่ระดับ 45 บาทในช่วงต้นปี จนลงมาทำโลว์ที่บริเวณ 30 บาท ก่อนจะมีการตีกลับขึ้นไปแถว 35 บาท “โมนิก้า” มองเป็นเรื่องของบรรยากาศตลาดหุ้นไม่เป็นใจ และเป็นการขายทำกำไรธรรมดา ๆ เพราะเมื่อมองดูตัวเลขกำไรที่โตต่อเนื่องทุกปี จึงอยากให้นักลงทุนประเมินกันเอาเองว่า การยืนปิดที่ระดับ 32.75 บาท ลบไป 1.25 บาท หรือลงไป 3.70% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 64 ล้านบาท น่าช้อนไหม?

โมนิก้า: และทีมงาน

Back to top button