“เผ่าภูมิ” ร่วมเวที “SEAVG-IMF” ถกนโยบายการเงิน หลังประเมิน GDP ไทยปี 68 โต 3%

เผ่าภูมิ โรจนสกุล เข้าร่วมประชุม SEAVG และ IMF หารือนโยบายการเงินกระตุ้นเศรษฐกิจ หลัง IMF คาดการณ์ GDP ไทยในปี 2568 เติบโต 3%


ผู้สื่อข่าวรายงาน วันนี้ (24 ต.ค.67) นายเผ่าภูมิ โรจนสกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ได้เข้าร่วมการประชุมกลุ่มออกเสียงเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ South East Asia Voting Group : SEAVG ของ ธนาคารโลก และกองทุนการเงินระหว่างประเทศ International Monetary Fund : IMF ณ กรุงวอชิงตัน ดี.ซี. สหรัฐอเมริกา

โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังในฐานะผู้ว่าการธนาคารโลก 11 ประเทศสมาชิกเข้าร่วมประกอบด้วย ฟิจิ, บรูไนดารุสซาลาม, อินโดนีเซีย, ลาว, เมียนมา, มาเลเซีย, เนปาล, สิงคโปร์, ตองกา, เวียดนาม และไทย รวมถึงมีผู้ว่าการธนาคารกลางในฐานะผู้ว่าการกองทุนการเงินระหว่างประเทศเข้าร่วม 13 ประเทศ ประกอบด้วย สมาชิก 11 ประเทศข้างต้น ฟิลิปปินส์ และกัมพูชา

“ที่ประชุมส่วนใหญ่ให้คำแนะนำเชิงนโยบายและการให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ประเทศกำลังพัฒนาเพื่อแก้ไขปัญหาที่อาจเกิดขึ้นจากการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของประเทศเศรษฐกิจขนาดใหญ่ การจัดเก็บรายได้ของภาครัฐ และปัญหาด้านหนี้สาธารณะ รวมถึงสนับสนุนการระดมทุนในรูปแบบต่าง ๆ เพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ” นายเผ่าภูมิ กล่าว

นอกจากนี้ ที่ประชุมได้มีการหารือเกี่ยวกับเศรษฐกิจ การปรับสมดุลของการใช้จ่ายงบประมาณของรัฐและการมาตรการทางการคลังเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อรักษาแรงผลักดันในการเติบโตทางเศรษฐกิจ ผ่านการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้จ่ายภาครัฐ การเสริมสร้างการระดมทรัพยากรในประเทศ การจัดการหนี้

อีกทั้ง การใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีดิจิทัล โดยนายเผ่าภูมิฯ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลังได้ยกตัวอย่างนโยบายของประเทศไทย ได้แก่ การเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดเก็บภาษีของรัฐผ่านการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลและฐานข้อมูลขนาดใหญ่ การขยายฐานภาษีจากนโยบายการจัดเก็บภาษีจากธุรกิจออนไลน์และดิจิทัลแพลตฟอร์มต่าง ๆ ตามกรอบความร่วมมือเกี่ยวกับการป้องกันการโยกย้ายฐานภาษีของกลุ่มบริษัทข้ามชาติขององค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา

ขณะที่ ได้เสนอแนวคิดการลดการยกเว้นการลดหย่อนภาษีที่ไม่จำเป็นเพิ่มเติมในการหารือดังกล่าวด้วย ซึ่งผู้แทนจากธนาคารโลกและ IMF ได้ให้ความเห็นว่าประเทศสมาชิกในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีบริบทและความท้าทายที่แตกต่างกันจึงจำเป็นต้องมีการปรับความสมดุลด้านการคลังในระยะเวลาที่ต่างกันให้เหมาะสมกับบริบทของแต่ละประเทศ

นอกจากนี้ นายเผ่าภูมิ ได้หารือทวิภาคีกับนาง Manuella V. Ferro รองประธานธนาคารโลก ประจำภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิก ถึงภาพรวมเศรษฐกิจไทยและแนวนโยบายที่ประเทศไทยให้ความสำคัญและความร่วมมือระหว่างประเทศไทยและธนาคารโลก พร้อมทั้งได้เน้นย้ำถึงเสถียรภาพของเศรษฐกิจไทยและแนวนโยบายของรัฐบาลในการสนับสนุนการฟื้นฟูเศรษฐกิจและเสริมสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันของไทย ตลอดจนนโยบายการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานทางกายภาพและดิจิทัล

ขณะที่ รองประธานธนาคารโลกได้แสดงความเชื่อมั่นในพื้นฐานเศรษฐกิจไทยที่แข็งแกร่ง และเห็นว่านโยบายการส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล การพัฒนาประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางทางการเงิน นโยบายสลากสะสมทรัพย์เพื่อเงินออมยามเกษียณเพื่อส่งเสริมการออมสำหรับผู้สูงอายุ

ตลอดจนการส่งเสริมการพัฒนาผลิตภาพของภาคการเกษตรจะส่งผลให้เกิดการพัฒนาที่ครอบคลุมและยั่งยืน เอื้อต่อการขยายตัวของการลงทุนจากต่างชาติในประเทศไทย ซึ่งรองประธานฯได้ให้ความสนใจกับนโยบายสลากสะสมทรัพย์เพื่อเงินออมยามเกษียณโดยจะศึกษาตัวอย่างของประเทศไทยต่อไป

ส่วนในระหว่างการประชุม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังและผู้ว่าการธนาคารกลางอาเซียนกับนาง Kristalina Georgieva กรรมการจัดการกองทุนการเงินระหว่างประเทศเพื่อรับฟังรายงานเกี่ยวกับพัฒนาการของเศรษฐกิจโลกและภูมิภาคอาเซียน โดยได้ประมาณการแนวโน้มเศรษฐกิจไทยว่าจะขยายตัวร้อยละ 2.8 ในปี 2567 และจะขยายตัวร้อยละ 3.0 ในปี 2568 โดย IMF พร้อมสนับสนุนประเทศสมาชิกอาเซียนในการรับมือกับความท้าทายทางเศรษฐกิจในปัจจุบัน

Back to top button