พรีวิวงบ “3 นิคมฯ” ไตรมาส 3/67 กำไรแจ่ม ชู ROJNA โตสุด 6 เท่าตัว

พรีวิวงบการเงิน ROJNA -AMATA-WHA ช่วงไตรมาส 3/67 คาดกำไรโตแกร่ง พบ ROJNA เติบโตมากสุด 627% เฉียด 2 พันล้านบาท รับอานิสงส์ตุนแบ็กล็อกแน่น จ่อบันทึกกำไรถือหุ้นกัลฟ์ โบรกฯแนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 9.20 บาท


บริษัทจดทะเบียน (บจ.) ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ทยอยประกาศงบการเงินงวดการดำเนินงานไตรมาส 3/2567 สิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2567 โดยกลุ่มที่น่าติดตามและนับว่าเป็นกระแสที่กำลังมาแรง คือ นิคมอุตสาหกรรม ซึ่งได้รับปัจจัยสนับสนุนจากการเข้ามาลงทุน Data Center  และการลงทุนของบริษัทเทคโนโลยีระดับโลก อาทิ อย่าง Microsoft, Google, Amazon และ Nvidia ซึ่งทางนักวิเคราะห์หลักทรัพย์มีการพรีวิวข้อมูลผลการดำเนินงานไตรมาส 3/67 กลุ่มนิคมฯ ว่าสามารถทำกำไรเติบโตแข็งได้อย่างสดใส ดังนี้

บริษัท หลักทรัพย์ฟิลลิป (ประเทศไทย) จำกัด มหาชน ระบุในบทวิเคราะห์ถึง บริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ WHA คาดการณ์ผลการดำเนินงานไตรมาส 3/67 มีกำไรอยู่ที่ 1,267 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 103% เมื่อเทียบกับปีก่อน 623 ล้านบาท จากโอนที่ดิน 500 ไร่ เป็นส่วนของ WHA 244 ไร่ และ WHA-IER (JV) 256 ไร่ ซึ่งจากโอนที่ดินรวมเพิ่มขึ้น ทำอัตรากำไร GPM ได้สูงขึ้น

ขณะที่ มีส่วนแบ่งกำไรสูงขึ้น โดยได้ประโยชน์จากกำไร-ขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยน FX gain ของโรงไฟฟ้า SPP มีเงินกู้สกุลดอลลาร์ สามารถชดเชยยอดโอนนิคม WHA-IER ลดลงเทียบไตรมาสก่อนหน้า และชดเชยกับโรงไฟฟ้า GHECO-One ที่เริ่มขาดทุนหลังกลับมาเปิดในเดือนก.ย. ยังใช้วัตถุดิบต้นทุนสูง โดยคงคำแนะนำ “ซื้อ” ราคาพื้นฐานปี 68 อยู่ที่ 6.55 บาท

ทางด้าน บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) ระบุในบทวิเคราะห์ถึงผลการดำเนินงาน บริษัท สวนอุตสาหกรรมโรจนะ จำกัด (มหาชน) หรือ ROJNA คาดการณ์กำไรสุทธิไตรมาส 3/67 อยู่ที่ 1,948 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 628% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และเพิ่มขึ้น 210% เมื่อเทียบกับช่วงไตรมาสก่อนหน้า หากไม่รวมกำไรพิเศษ 1.6 พันล้านบาท กำไรธุรกิจหลักจะอยู่ที่ 332 ล้านบาท ลดลง 22% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และลดลง 55% จากไตรมาสก่อนหน้า จากกำไรธุรกิจไฟฟ้าชะลอตัวลง โดยกำไรธุรกิจหลักใน 9 เดือน ปี 67 คาดการณ์อยู่ที่ 1.3 พันล้านบาท ลดลง 10% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และคิดเป็น 62% ของประมาณการของปี 67

อย่างไรก็ตาม ทิศทางการเติบโตในไตรมาส 3/67 ยังคาดการณ์กําไรจากโรงไฟฟ้าจะคงที่เมื่อเทียบกับไตรมาส 2/67 เนื่องจากอัตรา Ft ไม่เปลี่ยนแปลงและต้นทุนก๊าซธรรมชาติที่มีเสถียรภาพ แต่กําไรจากนิคมจะขึ้นกับยอดโอน ซึ่งมีงานในมือ (Backlog) 1,783 ไร่ และคาดการณ์ว่าจะบันทึกกําไรที่ยังไม่เกิดขึ้นจริงจากการลงทุนในไตรมาส 3/67 หลังราคาหุ้น บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ GULF ปรับขึ้น โดยฝ่ายนักวิจัยฯ ประเมินกำไรสุทธิปี 67 ที่ 2,063 ล้านบาท โต 110% จากปีก่อน พร้อมคงประมาณการยอดขายที่ดินปีนี้ที่ 1,870 ไร่ โดยคงคำแนะนํา “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 9.20 บาท

ส่วน บริษัทหลักทรัพย์ ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด ระบุถึง ROJNA คาดการณ์ผลการดำเนินงานไตรมาส 3/67 มีกำไรสุทธิแข็งแกร่ง จากมีงานในมือ (Backlog) จำนวน 1.78 พันไร่ในสิ้นมิ.ย.67 ที่รอรับรู้รายได้ ซึ่งขายที่ดินใน 6 เดือนแรก ปี 67 ได้ 710 ไร่ ส่วนรายได้และมาร์จิ้นธุรกิจไฟฟ้าอยู่ในเกณฑ์ดี

โดยค่า Ft และต้นทุนก๊าซมีแนวโน้มทรงตัวใกล้เคียงไตรมาสก่อน ขณะที่มีกำไรที่ยังไม่เกิดขึ้นจากการถือหุ้น  GULF ซึ่งราคาหุ้นได้ปรับขึ้นมา เพิ่มขึ้น 37% จากไตรมาสก่อนถึงปัจจุบัน หรือคิดเป็นกำไรก่อนภาษีในส่วนนี้ 1.67 พันล้านบาทในไตรมาสก่อนถึงปัจุบัน โดย ROJNA ถือหุ้น GULF จำนวน 111.4 ล้านหุ้น คิดเป็น 0.95% ของหุ้นเรียกชำระแล้ว ทั้งนี้ แนะนำ “ซื้อ” ให้ราคาเป้าหมาย 8.25 บาท

ขณะที่บริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด ระบุในบทวิเคราะห์ว่า คาดการณ์ว่า บริษัท อมตะ คอร์ปอเรชัน จำกัด (มหาชน) หรือ AMATA จะสามารถทำยอดขายที่ดินในปี 67 สูงสุดเป็นประวัติบริษัทได้ที่ไม่ตํ่ากว่า 2,500 ไร่เติบโต 35% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน และหนุนมูลค่างานในมือ (Backlog) ในมือซึ่งรอบันทึกรายได้ไปถึงปี 68 ให้แข็งแกร่งมากขึ้นจากไตรมาส 3/67 อยู่ที่ 19,400 ล้านบาท

ทั้งนี้ มองว่าประเทศไทยยังคงเป็นจุดยุทธศาสตร์ที่ดีที่สามารถดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศได้ในระยะยาวฐานลูกค้าหลักของ AMATA อยู่ในกลุ่มจากประเทศจีนและไต้หวันอุตสาหกรรม Electronic และชิ้นส่วน รวมไปถึงขยายไปที่กลุ่ม Data Center จากภูมิภาค คาดการณ์จะต่อยอดการเติบโตของยอดขายที่ดินในปี 68 ได้ โดยทางฝ่ายวิจัยฯ ยังคงแนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 32.30 บาท เพิ่มขึ้นจากเดิมที่ 30.00 บาท

รวมถึง บริษัทหลักทรัพย์ พาย จำกัด (มหาชน) ระบุถึง AMATA คาดการณ์ผลการดำเนินงานงวดไตรมาส 3/67 มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 927 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 134% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และเพิ่มขึ้น 301% จากไตรมาสก่อนหน้า ซึ่งได้รับผลดีจากยอดการโอนที่ดินที่สูงถึง 452 ไร่ เทียบกับ 271 ไร่ในไตรมาส 3/66 และเทียบกับยอดขาย 271 ไร่ในไตรมาส 2/67  ส่วนหนึ่งมาจากยอดขายสะสมในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมาที่ทำได้กว่า 2,000 ไร่ และส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนที่เพิ่มขึ้นมากจากธุรกิจโรงไฟฟ้า หลังค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้น

นอกจากนี้ รายได้คาดการณ์ไว้อยู่ที่ 4,262 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 49% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และเพิ่มขึ้น 60% จากไตรมาสก่อนหน้า สาเหตุหลักมาจากการโอนที่ดินที่เพิ่มขึ้นตามที่กล่าวไปข้างต้น ขณะที่กำไรขั้นต้นคาดการณ์ไว้อยู่ที่ 41% เพิ่มขึ้นจาก 34% ในไตรมาส 3/66 และเพิ่มขึ้น 31% เมื่อเทียบกับไตรมาส 2/66 เพราะรายได้จากธุรกิจการขายที่ดินมีสัดส่วนที่มากขึ้น ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารคาดการณ์ไว้อยู่ที่ 550 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 84% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และเพิ่มขึ้น 43% จากไตรมาสก่อนหน้าเพิ่มในทิศทางเดียวกับยอดการโอนที่ดิน ทั้งนี้ ยังคงแนะนำ “ซื้อ” ราคาพื้นฐาน 30.30 บาท

Back to top button