พาราสาวะถี
ท่ามกลางความสับสนอลหม่านว่าด้วยกระแสข้อมูลข่าวสารที่ยังแรงไม่หยุดคือปมดิไอคอน กรุ๊ป ซึ่งมีบทสรุปเรื่องของคดีที่ทางตำรวจจะส่งไปต่อไปอยู่ในมือของกรมสอบสวนคดีพิเศษ
ท่ามกลางความสับสนอลหม่านว่าด้วยกระแสข้อมูลข่าวสารที่ยังแรงไม่หยุดคือปมดิไอคอน กรุ๊ป ซึ่งมีบทสรุปเรื่องของคดีที่ทางตำรวจจะส่งไปต่อไปอยู่ในมือของกรมสอบสวนคดีพิเศษ ต้องใช้เวลาระยะหนึ่งเพื่อให้ทุกอย่างเป็นไปตามกระบวนการทางกฎหมาย คำถามที่เกิดขึ้นเวลานี้โดยทาง สว.ได้มีการตั้งกระทู้ถามรัฐบาลก็คือ การดำเนินการทั้งหมดจะทันกรอบเวลาหรือไม่ แล้วจะส่งผลให้ผู้ต้องหาบรรดา 18 บอสที่ถูกคุมขังอยู่เวลานี้ รอดคุกจนสุดท้ายอาจรอดคดีไปได้
เป็นความกังวล ความสงสัย และห่วงใย ที่สามารถตั้งข้อสังเกตกันได้ แต่มาถึงตรงนี้เชื่อว่าบรรดาผู้ที่เกี่ยวข้องในคดีไม่ว่าจะทางตำรวจ ดีเอสไอ หรือแม้กระทั่ง ปปง.เองก็ดี คงจะไม่ปล่อยให้เรื่องสำคัญแบบนี้ลอยนวลไปได้แน่ ๆ เพียงแต่ว่าทุกอย่างต้องให้รอบคอบ รัดกุม มัดแน่นจนผู้ต้องหาทั้งหมดดิ้นไม่หลุด ซึ่งอาจจะไม่ทันใจของเหล่าฮาร์ดคอร์ที่อยากจะให้ถึงบทอวสานโดยเร็ว เมื่อมองในแง่ของกระบวนการตั้งแต่ต้นก็ถือว่าการทำงานของเจ้าหน้าที่ก็ไม่ได้ช้าแต่อย่างใด
ในขณะที่ดิไอคอนช่วยเข้ามาแบ่งเบากระแสรุกเร้าทางการเมืองไปได้ช่วงเวลาหนึ่ง ก่อนที่จะมีเรื่องตากใบมาแทรกก่อนถึงเวลาคดีหมดอายุความเมื่อวันที่ 25 ตุลาคมที่ผ่านมา หลังจากนี้เหตุการณ์ก็เข้าสู่โหมดปกติ การจี้ถามหาความรับผิดชอบ และมาตรการเพื่อไม่ให้เกิดเหตุซ้ำรอยอีกก็เป็นวิถีที่จะต้องเป็นไปตามนั้น มาถึงจังหวะที่สภาใกล้จะปิดสมัยประชุมแล้ว ความร้อนแรงในส่วนของฝ่ายนิติบัญญัติก็จะลดโทนทางลงไป ประเด็นร้อนทั้งหลายก็รอเวลาให้เปิดสมัยประชุมหน้าค่อยมาว่ากันใหม่
ทั้งการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ร่างกฎหมายประชามติ รวมทั้งร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม สองเรื่องแรกเป็นประเด็นหลักที่เพื่อไทยจะต้องหาทางหารือกับพรรคร่วมรัฐบาลเพื่อให้ได้ข้อสรุปว่า จะเดินหน้ากันอย่างไร หากไม่ทันสมัยรัฐบาลนี้ก็ต้องมีคำตอบให้กับประชาชน โดยเฉพาะกองเชียร์ฝ่ายประชาธิปไตย ถ้าจะใช้เงื่อนไขที่ สว.ตีตกร่างกฎหมายประชามติก็เอาให้ชัด เพื่อที่พรรคแกนนำจะได้ชี้ให้เห็นว่าพยายามทำอย่างเต็มที่แล้วสำหรับนโยบายเรือธงแต่ก็ติดขัดโดยปัญหาที่ไม่สามารถควบคุมได้
ส่วนความเชื่อของคนว่าเป็นกลเกมทางการเมืองของพวกเดียวกันเอง หรืออาจจะเป็นการสมรู้ร่วมคิด เพื่อไม่ให้เกิดความบาดหมาง ขัดแย้งภายในพรรคร่วมรัฐบาลตรงนี้ก็แล้วแต่จะว่ากันไป ขณะที่เรื่องนิรโทษกรรม แม้ว่าจะมีร่างกฎหมายที่รอเข้าสู่สภาสมัยหน้าถึง 4 ฉบับ แต่การมีปมเรื่องมาตรา 112 เข้ามาเกี่ยวข้อง ก็เป็นเรื่องยากที่จะทำให้การพิจารณาดำเนินไปด้วยความรวดเร็ว ราบรื่น เรียบร้อย ยังไงก็ต้องมีเหตุให้สะดุดหรือยืดเยื้อออกไปแน่นอน
เห็นได้จากมติของที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรที่ไม่รับข้อสังเกตรายงานการพิจารณาศึกษาแนวทางการตราพระราชบัญญัตินิรโทษกรรมเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา สะท้อนภาพให้เห็นว่า พรรคเพื่อไทยยังต้องรักษาสัมพันธภาพระหว่างพรรคร่วมรัฐบาลอย่างเต็มที่ มีการปล่อยข่าวว่าจะไปจับมือกับพรรคประชาชนเพื่อยกมือหนุนรับข้อสังเกตดังว่า แต่พอถึงเวลากลับมีเสียง สส.พรรคแกนนำถึง 115 เสียงยกมือค้าน นี่ย่อมแสดงให้เห็นถึงความเกรงอกเกรงใจกันภายในพรรคร่วมเป็นอย่างดี
มันไม่มีทางเลือกอื่น ไม่ว่าจะมีเหตุอันใดทำให้เกิดการขุ่นข้องหมองใจระหว่างพรรคร่วมรัฐบาล สุดท้ายต้องย้อนกลับไปยังจุดตั้งต้นของการจับมือตั้งรัฐบาลพลิกขั้ว ทุกพรรคต่างสงวนจุดต่าง ใช้จุดร่วมที่เห็นคล้อยกัน และเงื่อนไขสำคัญที่ได้รับมาเพื่อทำให้บ้านเมืองและการเมืองเดินไปข้างหน้าได้ ดังนั้น ไม่ว่าเพื่อไทยจะเป็นแกนนำเสียงข้างมากในซีกรัฐบาล หรือภูมิใจไทยจะกุมความได้เปรียบในฐานะพรรคอันดับสองที่มี สว.สายสีน้ำเงินเป็นไม้เด็ดในการต่อรอง
แต่การจะยื่นหมูยื่นแมวชนิดหักด้ามพร้าด้วยเข่าไม่มีทางที่จะเกิดขึ้น นอกเหนือจากผลประโยชน์ทางการเมืองที่มีร่วมกันแล้ว ยังมีผลประโยชน์ด้านอื่นที่หัวหน้าพรรคทั้งสองฝ่าย และกุนซือผู้มากบารมีทั้งสองฝั่ง ต่างเป็นประเภทไก่เห็นตีนงู จึงไม่มีใครที่จะทุบหม้อข้าวตัวเอง ทุกเรื่องที่เป็นประเด็นต้องตัดสินใจทางการเมือง จะไม่ยึดประโยชน์ของพรรคใดพรรคหนึ่งเป็นที่ตั้ง แต่จะตกลงกันว่า ทำไปแล้วทั้งสองฝ่ายอยู่ในฐานะที่ได้เปรียบหรือไม่
ประเภทที่ว่าวัดรอยเท้า ชิงความเป็นใหญ่อาจมองได้ในมิติการแข่งขันทางการเมือง แต่ภาพเบื้องหลังด้วยที่มาของการเกิดรัฐบาลพลิกขั้วของผู้มากบารมีทั้งสองฝั่ง มันจำเป็นต้องหลอมรวมจับมือกันให้เป็นหนึ่งเดียว ความเคลื่อนไหวทางการเมืองที่ถูกมองว่าสร้างภาพ โดยที่ผู้กุมอำนาจของทั้งสองฝ่ายต่างก็เล่นเกมขบเหลี่ยม ขับเคี่ยวกันอยู่นั้น หากมองอดีตทางการเมืองก็เป็นเช่นนั้น แต่จนถึงนาทีนี้ต่างฝ่ายต่างยอมรับกันอยู่ในทีว่า รวมกันเราอยู่ตีกันเราตาย หากจะเรียกว่าจำต้องอยู่ในภาวะกล้ำกลืนฝืนทนก็น่าจะเป็นด้วยความเต็มใจเสียมากกว่า
เมื่อมองถึงการทำงานของรัฐบาล แพทองธาร ชินวัตร ที่รับตำแหน่งเมื่อ 18 สิงหาคมที่ผ่านมา ถือว่าเร็วไปที่จะด่วนสรุปว่าจะอยู่ไม่ยืด ล่าสุด มีโพลส่วนตัวของ ธำรงศักดิ์ เพชรเลิศอนันต์ ผู้อำนวยการหลักสูตรรัฐศาสตรมหาบัณฑิต คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต ในนามอาจารย์ธำรงศักดิ์โพล เปิดผลสำรวจความเห็นประชาชนเรื่องความเชื่อมั่นในความเป็นผู้นำของนายกรัฐมนตรีหญิง พบว่าส่วนใหญ่อยู่ในระดับปานกลางคือ 48.63 เปอร์เซ็นต์ เชื่อมั่นมากที่สุด 5.14 เชื่อมั่นมาก 9.32 เปอร์เซ็นต์
รวมผลของกลุ่มเชื่อมั่นเห็นว่าเกินหกสิบเปอร์เซ็นต์ แต่น่าสนใจคือ ความเชื่อมั่นในระดับปานกลางนั้น มีความหมายว่าประชาชนรอดูการทำงานในตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอีกระยะหนึ่งก่อน ให้โอกาสทำงานก่อน และยังไม่เคยเห็นฝีมือการทำงานหรือการเป็นผู้นำอย่างแท้จริงมาก่อน คงไม่ต่างจากคนส่วนใหญ่ในประเทศ ถือเป็นจังหวะที่อุ๊งอิ๊งและคณะ จะต้องมุ่งมั่นทำงาน อ่านทิศทางจากการแก้ปัญหาน้ำท่วม แจกเงินหมื่นเฟสแรก และการเข้าพบของภาคเอกชน ล้วนเป็นสัญญาณเชิงบวกที่รัฐบาลจะต้องเร่งสร้างผลงานให้เป็นที่ปรากฏ
อรชุน