“พิชัย” หวัง GDP ไทยปี 68 ขยายตัว 3.5% ฟากเงินเฟ้อไทยควรเหนือ 2%

“พิชัย ชุณหวชิร” คาด GDP ปีนี้โต 2.7% หวังปี 68 แตะ 3.5% เร่งสรุปมาตรการแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือน-หนุนต่างชาติเช่าที่ดิน 99 ปี เพิ่มลงทุน สำหรับอัตราเงินเฟ้อไทยชี้ระดับที่เหมาะสมควรอย่างต่ำกว่า 2%


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (30 ต.ค. 67) นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวปาฐกถาพิเศษ หัวข้อ “Thailand 2025: Opportunities, Challenges and the Future” คาดว่า ปีนี้เศรษฐกิจไทยจะขยายตัวได้ราว 2.7% แต่มองว่าควรขยายตัวได้มากกว่านี้ ขณะที่ปี 2566 ที่ผ่านมาขยายตัวได้เพียงแค่ 1.9% เท่านั้น

สำหรับอัตราเงินเฟ้อของไทย มองว่า ในระดับที่เหมาะสมควรอย่างต่ำอยู่ที่ 2% ดังนั้นจำเป็นต้องพิจารณารอบด้านว่า วันนี้เศรษฐกิจไทยอยู่ในสภาพอะไร และต้องแก้ปัญหาที่มีอยู่ ต้องมองเงื่อนไขที่จะเดินไปข้างหน้า ซึ่งเรียกความท้าทายและโอกาสที่จับต้องได้

“ปีนี้เดาว่า GDP จะขยายตัวได้ 2.7% บวกลบ คิดว่ามันควรจะมากกว่านี้ แต่มีน้ำท่วมเข้ามาแทรก ส่วนปี 2568 หากอยู่บนสิ่งที่เห็น การขยายตัวน่าจะได้ถึง 3% บวกลบ คิดว่า 3% มันเหมือนกับการอยู่ไปแบบไม่ได้มองว่าไทยมีศักยภาพอะไรบ้าง มีโอกาสอะไรบ้าง เราก็ยอมรับได้ แต่ก็คิดว่ามันควรจะขึ้นไปได้มากกว่านี้ แต่เราอาจจะมองลึกไปถึงตอนที่เศรษฐกิจเคยขยายตัวได้ถึง 5% เศรษฐกิจมันโตมาในระดับหนึ่ง ดังนั้นสิ่งที่อยากเห็นคือเศรษฐกิจไทยน่าจะโตได้ที่ 3.5%” นายพิชัย กล่าว

นายพิชัย กล่าวอีกว่า อัตราดอกเบี้ยของไทยอยู่ในระดับต่ำเมื่อเทียบกับประเทศอื่น ๆ โดยก่อนหน้านี้อัตราดอกเบี้ยนโยบายอยู่ที่ 2.50% เป็นระยะเวลานาน แม้ล่าสุดจะลดลงมาอยู่ที่ 2.25% แล้ว แต่ก็ยังมีการเรียกร้องให้ปรับลดต่ำลงอีก

“คนที่มีหนี้เยอะ ก็อยากเห็นอัตราดอกเบี้ยต่ำ คนให้เงินให้สินเชื่อ ก็อยากจะได้ดอกเบี้ยสูง ดังนั้นสภาพคล่องจึงดูเหมือนหายไปจากตลาด แต่จริง ๆ แล้วไม่ใช่ เพราะปัญหาที่แท้จริงคือคนไม่สามารถเข้าถึงสินเชื่อได้ ไม่ได้เป็นเพราะเราไม่มีสภาพคล่อง จริง ๆ แล้วเรามีสภาพคล่องเกินด้วยซ้ำ ขณะที่การลงทุนของไทยก็มีการลงทุนน้อย เราจึงตกอยู่ในฐานะที่เรียกว่า เป็นเศรษฐี แต่ไม่มีอนาคต เนื่องจากไทยมีการลงทุนต่ำ ซึ่งแตกต่างจากหลาย 10 ปีที่ผ่านมา” นายพิชัย กล่าว

ขณะที่ภาวะหนี้ครัวเรือนของไทย ปัจจุบันได้ปรับลดลงมาอยู่ที่ระดับ 89% ของ GDP หรือ 12 ล้านล้านบาท จากก่อนหน้านี้ ที่เคยขึ้นไปสูงกว่า 90% ของ GDP ซึ่งมองว่าไม่ควรจะมีหนี้เกิน 14 ล้านล้านบาท

ทั้งนี้ การที่หนี้ครัวเรือนไทยปรับลดลงมานั้น ไม่ได้มาจากการแก้ปัญหา แต่เป็นเพราะมูลค่า GDP ที่ขยายตัวเพิ่มขึ้น ประกอบกับสถาบันการเงินชะลอการปล่อยสินเชื่อ ทั้งของภาคประชาชนและภาคธุรกิจ SMEs สะท้อนว่า คนที่เป็นกำลังซื้อของประเทศ กำลังประสบปัญหาหนี้ท่วม ส่วนหนี้สาธารณะปัจจุบันอยู่ที่ 65-66% ซึ่งรัฐบาลพยายามรักษาวินัยการเงินการคลัง เพื่อไม่ให้สูงเกินกว่ากรอบวินัยการเงินการคลังที่ 70% ต่อ GDP

นายพิชัย กล่าวเพิ่มเติมว่า ปัญหาหนี้ครัวเรือนนั้น จำเป็นต้องมีการปรับโครงสร้างหนี้ให้กับครัวเรือน ซึ่งที่ผ่านมาได้หารือกับธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และสมาคมธนาคารไทย เพื่อดำเนินโครงการปรับโครงสร้างหนี้ให้กับภาคครัวเรือน โดยเฉพาะหนี้รถกระบะ และหนี้ที่อยู่อาศัย โดยคาดว่าจะได้ความชัดเจนเร็ว ๆ นี้ เพื่อให้ประชาชนสามารถอยู่ได้ ในขณะที่สถาบันการเงินก็มีโอกาสปล่อยสินเชื่อใหม่เข้าสู่ระบบมากขึ้น

ส่วนการลงทุนของนักลงทุนต่างชาติ นายพิชัย กล่าวว่า ยังมีความต้องการเข้ามาลงทุนในไทยค่อนข้างมาก คิดเป็นวงเงินหลายแสนล้านบาท และต้องการลงทุนในระยะยาวมากขึ้น ซึ่งการเข้ามาปักฐานการลงทุนในไทย หากมีสัญญาเช่าที่ดินที่นาน เช่น 99 ปี ก็น่าจะเป็นโอกาสที่ดี แต่หากไม่มีสัญญาเช่าที่ดินระยะเวลาที่นานเช่นนี้ ก็อาจจะทำให้การเข้ามาลงทุนของต่างชาติเกิดยากขึ้น

“99 ปี คือ ในต่างประเทศ เขาเปิดโอกาสให้ต่างชาติใครอยากซื้อที่ดิน ก็ซื้อได้เลย ส่วนการเช่า ถ้าจะเอาที่เช่าไปขอสินเชื่อจากสถาบันการเงินก็ค่อนข้างยาก จึงเป็นที่มาของการเช่ายาว เพื่อมีสิทธิ์ในที่ดิน เช่น ทรัพย์อิงสิทธิ์ ที่จะนำไปขอกู้กับสถาบันการเงินได้ แสดงว่ามีสิทธิในการใช้ ไปแบงก์กู้ได้ อย่ามองว่าทรัพย์พวกนี้จะตกไปที่ต่างชาติ อย่างที่ดินของรัฐที่เยอะนั้น ก็เอามาสร้างที่อยู่อาศัยให้ผู้มีรายได้น้อย แล้วก็ให้เช่าในราคาถูกระยะเวลานาน” นายพิชัย กล่าวทิ้งท้าย

Back to top button