ฝรั่งเทกระจาด
วานนี้นักลงทุนต่างประเทศขายสุทธิออกมาน่าตกใจมาก มูลค่ารวมกว่า 4,268 ล้านบาท (SET) ส่งผลให้ในช่วง 30 วันที่ผ่านมา ต่างชาติขายสุทธิหุ้นไทยออกมาแล้วประมาณ 2.4 หมื่นล้านบาท
วานนี้นักลงทุนต่างประเทศขายสุทธิออกมาน่าตกใจมาก
มูลค่ารวมกว่า 4,268 ล้านบาท (SET)
ส่งผลให้ในช่วง 30 วันที่ผ่านมา ต่างชาติขายสุทธิหุ้นไทยออกมาแล้วประมาณ 2.4 หมื่นล้านบาท
เหตุผลมีเพียงแค่เรื่องเลือกตั้งสหรัฐฯ เท่านั้น
เพราะล่าสุดมีการคาดกันว่า “ทรัมป์” น่าจะได้รับชัยชนะเหนือ “แฮร์ลิส”
นโยบายของทรัมป์ เท่าที่มีการวิเคราะห์กันนั้น
ไม่ส่งผลดีต่อตลาดหุ้นทางเอเชีย โดยเฉพาะ Emerging Market รวมถึงของประเทศไทยด้วย
นัยสำคัญว่า “หุ้นเอเชียสะเทือนแน่”
หนึ่งในนโยบายสำคัญของทรัมป์ คือ การขึ้นภาษีนำเข้า 60% กับประเทศจีน
และอีก 10% กับประเทศทั่วไป
ไม่เพียงเท่านั้น
ทรัมป์ จะมีการปรับลดภาษีนิติบุคคลจาก 21% เป็น 15% และมีการประเมินว่าจะช่วยเพิ่มกำไรของบริษัท ใน S&P 500 ประมาณเพิ่มขึ้น 4%
นโยบายเกี่ยวกับภาษีทั้งหมดนี้
ถูกวิเคราะห์ว่าจะ “เขย่าตลาดหุ้นเอเชีย” อย่างหนัก จากราคาสินค้านำเข้าสูงขึ้น และจะเพิ่มเงินเฟ้อ ทำให้ธนาคารกลางสหรัฐ หรือ เฟด ปรับลดดอกเบี้ยน้อยกว่าที่คาดการณ์เอาไว้
สำหรับเรื่องดอกเบี้ยเฟดนั้น
นักวิเคราะห์ที่นิวยอร์คถึงกับบอกว่า ทำให้มีความเป็นไปได้สูงที่เฟดจะลดดอกเบี้ยครั้งต่อไปในปี 2569 โน่นเลย
จากเดิมที่ประเมินกันว่า อาจจะปรับลดในปลายปีนี้อีก 1 ครั้ง และปี 2568 อีก 2-4 ครั้ง
ในส่วนของตลาดหุ้นไทย ที่มองกันว่า ดัชนีไม่น่าหลุด 1,400 จุด
อาจจะต้องทบทวนกันใหม่
เพราะดูจากแรงเทขายของนักลงทุนต่างชาติ ไม่มีเพลามือกันเลย
ส่วนกองทุนวายุภักษ์ ที่แม้จะมีเม็ดเงินบนหน้าตัก 1.5 แสนล้านบาท
และล่าสุดใส่เงินลุยหุ้นไปแล้วกว่า 30%
มีข่าวว่ายังต้องเบามือในการช้อปหุ้นเป้าหมาย เพราะราคาผันผวนมาก
วายุภักษ์ คงรอผลเลือกตั้งสหรัฐฯ เช่นกัน และรอให้ปริมาณการขายต่างชาติลดลง แล้วค่อยเข้าทยอยเก็บหุ้นเป้าหมาย
ส่วนจะไปรอรับที่ระดับดัชนีเท่าไหร่ ราคาหุ้นที่เล็งไว้จะต้องลงมาที่ราคาตรงไหน
เป็นกลยุทธ์ที่วายุภักษ์เองน่าจะมีอยู่ในใจแล้วล่ะ
นอกจากปัจจัยต่างประเทศแล้ว
หันมาดูปัจจัยภายในกันบ้าง อย่าง ผลประกอบการบริษัทจดทะเบียน (บจ.)
แม้ก่อนหน้าหุ้นกลุ่มธนาคารจะแจ้งงบฯ ออกมาค่อนข้างสวย
แต่วานนี้กลุ่มปูนซิเมนต์ไทย (SCC) ไตรมาส 3/2567 แจ้งกำไรเพียง 721 ล้านบาทเท่านั้น ลดลงถึง 70% จากไตรมาส 3/2566 และลดลง 80% จากไตรมาส 12/2567
นี่เห็นว่า จริงแล้วผลการดำเนินงานขาดทุนด้วยนะ
ดีที่ว่าได้เรื่องสัญญาแลกเปลี่ยนอัตราดอกเบี้ยหรือ Interest Rate Swap (IRS) มูลค่า 2,183 ล้านบาท จาก เอสซีจี เคมิคอลส์ เข้ามาช่วยหนุน
ราคาหุ้น SCC เคยร่วงลงไปต่ำกว่า 200 บาท ในช่วงกลางเดือนส.ค. 2567
ส่วนแนวโน้มวันนี้มีโอกาสลงมาต่ำกว่า 200 บาทอีกครั้ง
และยังไม่รู้ว่างบการเงินของกลุ่มปูนซิเมนต์ไทยที่ออกมานี้
จะไปสร้างเซนติเมนต์เชิงลบกับหุ้นกลุ่มใด หุ้นไหนอีกบ้าง
และน่าจะเป็นอีกปัจจัยลบกดดัชนีหุ้นไทยลงอีก
เว้นแต่จะได้หุ้นในกลุ่มสื่อสาร
เข้ามาช่วยประคองดัชนีได้บ้าง
ธนะชัย ณ นคร