พาราสาวะถี

รู้อยู่แล้วว่าการเมืองว่าด้วยเป็นเรื่องวิวาทะ ไม่ว่าจะแก้ไขรัฐธรรมนูญทันสมัยรัฐบาลนี้หรือไม่ พรรคเพื่อไทยต้องรับผิดชอบอย่างไร


รู้อยู่แล้วว่าการเมืองว่าด้วยเป็นเรื่องวิวาทะ ไม่ว่าจะแก้ไขรัฐธรรมนูญทันสมัยรัฐบาลนี้หรือไม่ พรรคเพื่อไทยต้องรับผิดชอบอย่างไร การปลุกกระแสเรื่องเกาะกูดคลั่งชาติดีกว่าขายชาติ หรือแม้แต่กับมติ ครม.เมื่อวันอังคารที่แล้ว เห็นชอบตามที่สภาความมั่นคงแห่งชาติ หรือ สมช. เสนอการลดขั้นตอนการให้สัญชาติไทยกับบุคคลกว่า 4.8 แสนคน แล้วมีความพยายามที่จะหยิบยกมาโจมตี ล้วนแต่เป็นสิ่งที่ฝ่ายตรงข้ามต้องการที่จะขยายผลเพื่อสั่นคลอนเสถียรภาพของรัฐบาล

เมื่อเป็นเช่นนั้นจึงเป็นหน้าที่ของผู้อาวุโส พรรษาทางการเมืองแกร่งกล้า หรือมีความรู้ความเข้าใจในแต่ละเรื่องที่จะตอบโต้ข้อกล่าวหาทั้งหลายที่พุ่งเข้าหา สำหรับ แพทองธาร ชินวัตร กระบวนการทำงานคงคล้ายกับ เศรษฐา ทวีสิน คือตั้งหน้าตั้งตาทำงานเพียงอย่างเดียว อาจต่างกันบ้างตรงที่มีหัวโขนความเป็นหัวหน้าพรรคเพื่อไทย บางเรื่องก็แตะพอเป็นพิธี บางอย่างก็ใช้ความเงียบแทนคำตอบ จากนั้นก็ชี้ชวนให้นักข่าวสนใจในงานที่เป็นด้านหลักคือฝ่ายบริหาร

เห็นได้จากการลงพื้นที่จังหวัดร้อยเอ็ดเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา แอ็กชันของนายกรัฐมนตรีหญิงมุ่งมั่นไปที่การแก้ไขปัญหายาเสพติด โดยยกร้อยเอ็ดและน่านโมเดล เป็นจุดตั้งไข่ ก่อนจะกระจายไปยัง 10 จังหวัดเป้าหมาย เพื่อทำให้เป็นจังหวัดสีขาว ปลอดยาเสพติด หรือทำให้ปัญหาค้ายาและผู้เสพยาน้อยลง เพราะเรื่องนี้มีความจำเป็นสำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าการแก้ปัญหายาเสพติด ถือเป็นภัยที่เซาะกร่อนบ่อนทำลายประเทศชาติทั้งมิติทางสังคม และเศรษฐกิจ

การเดินหน้าปราบปราม และนำผู้เสพมาบำบัดรักษา หากเป็นไปตามเป้าหมายขยายผลได้ถึง 10 จังหวัด นั่นย่อมสร้างแนวร่วม และเสียงสนับสนุนจากคนส่วนใหญ่ที่เห็นพิษภัย และหายนะของยาเสพติด ขณะเดียวกัน เรื่องวิธีการ โดยเฉพาะการปราบปราม จับกุมนั้น จะเห็นได้ว่ามีความแตกต่างจากการทำสงครามกับยาเสพติดในยุคของ ทักษิณ ชินวัตร ไม่มีประเด็นการฆ่าตัดตอน ทุกอย่างเน้นการกวาดล้าง จับกุม และยึดทรัพย์ ทำกับการตัดตอนวงจรของพวกผู้ค้าตั้งแต่รายเล็กไปจนถึงรายใหญ่ได้ชะงัดแล้ว

การเร่งสร้างผลงานให้เป็นที่ปรากฏ เริ่มจากปัญหาที่สร้างความเดือดร้อนต่อครอบครัว ชุมชน และสังคม ย่อมสร้างความอุ่นใจให้กับคนส่วนใหญ่ และเทกำลังใจ ส่งเสียงเชียร์รัฐบาลให้ทำงานเต็มที่ คู่ขนานไปกับการแก้ไขปัญหาด้านเศรษฐกิจ ช่วงปลายปีอย่างนี้รู้อยู่แล้วในแง่อารมณ์ของคนในประเทศก็ต้องการเข้าสู่โหมดพักผ่อนเต็มแก่กับเวลาที่เหลืออีกไม่กี่เดือนที่จะมีโหมดหยุดยาว รับกับบรรดานักท่องเที่ยวต่างชาติที่จะแห่แหนเดินทาง โดยจำนวนไม่น้อยมีหมุดหมายอยู่ที่ไทยแลนด์

เรียกได้ว่าเป็นช่วงไฮซีซั่น ดังนั้น รัฐบาลจึงขับเน้นสารพัดโครงการเพื่อดึงดูดความสนใจจากนักท่องเที่ยวทั้งในและต่างประเทศ โปรโมตกิจกรรมต่าง ๆ ซึ่งมีการดำเนินการมาตั้งแต่ยุครัฐบาลก่อนหน้า และอุ๊งอิ๊งที่ทำหน้าที่ในคณะกรรมการยุทธศาสตร์ซอฟต์พาวเวอร์แห่งชาติ ได้แสดงวิสัยทัศน์ไว้เมื่อคราวช่วยงานรัฐบาลเศรษฐา นั่นก็คือ ต้องประชาสัมพันธ์การท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม ประเพณีที่ถือว่าเป็นของทรงคุณค่า ซึ่งกระจายตัวอยู่ทั่วทุกภูมิภาคของประเทศ

สามารถจัดเป็นโปรแกรมเที่ยวทั่วไทยได้ทั้งปี ขณะที่กระทรวงวัฒนธรรมก็อาศัยกระแสหมูเด้งลูกฮิปโปฯ แคระ ที่กำลังโด่งดัง ใช้เป็นทูตวัฒนธรรมโปรโมตการท่องเที่ยว เริ่มต้นที่ประเพณีลอยกระทงซึ่งตรงกับวันที่ 15 พฤศจิกายนนี้ จากนั้นก็อัดตารางการท่องเที่ยวร่วมกับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย และกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เบื้องต้นลากยาวไปจนถึงเดือนเมษายนช่วงสงกรานต์ แน่นอนว่า ย่อมมีการประเมินเม็ดเงินที่จะเข้ามาและหมุนเวียนในระบบด้วยตัวเลขมหาศาล

ควบคู่กันกับโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจที่รัฐบาลได้ดำเนินการอย่างต่อเนื่อง และกำลังรอคณะกรรมการกระตุ้นเศรษฐกิจ เคาะว่าการจ่ายเงินหมื่นบาทเฟสสองจะทำได้เมื่อไหร่ และแจกกันแบบไหน หากสามารถขับเคลื่อนได้ตามแผนที่วางไว้ เหล่านี้ล้วนเป็นสัญญาณเชิงบวก ที่สอดรับกับการประเดิมแถลงการณ์ประเมินตัวเลขจีดีพีของประเทศในปี 2568 โดยกระทรวงการคลัง ที่ประมาณการไว้ว่าน่าจะเติบโตได้ที่ 3 เปอร์เซ็นต์  

เช่นเดียวกับการที่คณะกรรมการนโยบายการเงินมีมติเสียงข้างมากปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25 เปอร์เซ็นต์ จากที่ก่อนหน้านั้นเศรษฐาเคยเรียกร้องมาโดยตลอด แนวโน้ม ทิศทางว่าด้วยความร่วมมือในการหามาตรการ แนวทางเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจจากองค์กรที่เกี่ยวข้อง และภาคเอกชนที่เป็นตัวขับเคลื่อนสำคัญ ต้องยอมรับกันว่า แพทองธารมีเสียงสนับสนุนที่ดี นั่นเป็นเพราะเห็นกันแล้วว่า ชะตากรรมของประเทศกว่า 10 ปีที่ผ่านมานั้น อยู่ในภาวะถดถอยอย่างที่ไม่ควรจะเป็น

นั่นไม่ได้หมายความว่า พวกอนุรักษนิยมสุดโต่ง และกลุ่มที่เคยต่อต้านบางพวกจะเห็นดีเห็นงามด้วย มองได้จากความเคลื่อนไหวที่ยังคงพยายามจะด้อยค่า หาเหตุกล่าวหาเพื่อที่จะทำลายความน่าเชื่อถือ และมุ่งที่จะล้มรัฐบาลให้ได้ ปัจจัยเชิงลบลักษณะนี้คงทำให้พรรคแกนนำรัฐบาลและพรรคร่วมหวั่นไหว หากเป็นยุคสมัยที่การนัดหมายชุมนุมได้ชื่อว่าเป็น “ม็อบมีเส้น” แต่ยุคนี้ในนามรัฐบาลพลิกขั้วที่รับภารกิจมาชัดเจน ต้องทำกันแบบไหน เรื่องสำคัญมีอะไรบ้าง จึงไม่ได้สร้างความหนักใจแต่อย่างใด

ความเห็นต่างประเด็นทางการเมืองที่เป็นอยู่ ไม่ว่าจะปมร่างกฎหมายนิรโทษกรรม หรือการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ล้วนแต่เป็นการมองต่างมุม หรือส่วนใหญ่ไปฟังจากฝ่ายไม่หวังดีมีการจุดกระแสเพื่อให้เกิดความขัดแย้ง สุดท้ายเมื่อได้นัดหมายหารือ แลกเปลี่ยน ในจุดที่มีความเห็นต่าง ทางลงจึงไม่ใช่เรื่องยาก เพียงแค่บางอย่างอาจจะไม่ได้ตามที่ฝ่ายหนึ่งพรรคใดต้องการทั้งหมด หน้าฉากมีหน้าที่แสดงบทบาทตามตำแหน่งแห่งหนที่ได้รับมอบหมายของแต่ละพรรค แต่หลังฉากมีการประสาน พูดคุยกันใกล้ชิด เพราะความผิดพลาด หรือไม่เข้าใจกันเพียงเล็กน้อย มันหมายถึงหายนะกันทั้งคณะไม่ใช่แค่พรรคใดพรรคหนึ่งเท่านั้น

อรชุน

Back to top button