มอง SET มีโอกาสฟื้นตัว แต่ยังมีแรงกดดันที่ 1,500 จุด
InnovestX มองประเด็น GDP สหรัฐฯ ที่ยังแข็งแกร่ง เป็นผลจาก (1) การใช้จ่ายของผู้บริโภคที่ 3.7% (2) การใช้จ่ายภาครัฐที่ 5% และ (3) การลงทุนในเทคโนโลยี
InnovestX มองประเด็น GDP สหรัฐฯ ที่ยังแข็งแกร่ง เป็นผลจาก (1) การใช้จ่ายของผู้บริโภคที่ 3.7% โดยใช้จ่ายในหลายหมวดสินค้า ทั้งรถยนต์ เฟอร์นิเจอร์ และสินค้าเพื่อการพักผ่อน (2) การใช้จ่ายภาครัฐที่ 5% โดยเฉพาะงบกลาโหมที่สูงสุดในรอบ 21 ปี และ (3) การลงทุนในเทคโนโลยี โดยเฉพาะงบคอมพิวเตอร์ที่เพิ่มขึ้นถึง 32.7% สะท้อนการเติบโตของอุตสาหกรรม AI นอกจากนั้น หากพิจารณาจากมิติเงินเฟ้อ พบว่าดัชนี PCE และ Core PCE ลดลง ทำให้ InnovestX ยังคงมองว่า ธ.กลางสหรัฐ (Fed) จะลดดอกเบี้ยในสัปดาห์หน้าและ ธ.ค. ด้านตลาดแรงงานสหรัฐฯ ตําแหน่งงานเปิดใหม่ (JOLTS) เดือน ก.ย. ลดลงสู่ 7.4 ล้านตําแหน่ง ขณะที่การจ้างงานภาคเอกชน (ADP) เพิ่มขึ้นเร็วที่สุดในรอบกว่าหนึ่งปีที่ 2.33 แสนตำแหน่ง
ทั้งนี้ทาง InnovestX มองว่า ตำแหน่งงานเปิดใหม่ที่ชะลอลงมากน่าจะเป็นผลจากพายุเฮอริเคนสองลูกและการประท้วงของพนักงานโบอิ้ง ขณะที่การจ้างงาน ADP ที่ดีเกินคาดนั้นเป็นผลจากความต้องการแรงงานที่แข็งแกร่งเกินคาด โดยเฉพาะภาคบริการ นอกจากนั้น การเติบโตของค่าจ้างชะลอลงบ่งชี้ว่าแรงกดดันเงินเฟ้อจากค่าจ้างน้อยลง ในส่วนของประเด็น สี จิ้นผิง กระตุ้นให้เจ้าหน้าที่รัฐเร่งเบิกจ่ายมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจก่อนประชุมสภานิติบัญญัติวันที่ 8 พ.ย. นั้น บ่งชี้ว่ารัฐบาลต้องการให้เศรษฐกิจให้ได้ใกล้เคียงเป้าหมายที่ 5% และส่วนหนึ่งเพื่อหล่อเลี้ยงให้ดัชนีตลาดทุนไม่ตกลง รวมถึงเพื่อเป็นกันชนให้กับเศรษฐกิจจีนหากทรัมป์ได้กลับมาอีกครั้งด้วย โดยวงเงินในการออกมาตรการครั้งใหม่นี้อาจสูงถึง 10 ล้านล้านหยวน โดย 6 ล้านล้านหยวน อาจใช้ปรับโครงสร้างหนี้นอกงบดุลของรัฐบาลท้องถิ่น ขณะที่อีก 4 ล้านล้านหยวนอาจใช้ในการสนับสนุนการซื้อที่ดินและอสังหาริมทรัพย์ที่ไม่มีการใช้งาน
ส่วนตลาดหุ้นไทย InnovestX มองช่วงสั้นมอง SET มีโอกาสฟื้นตัวจากระดับ 1,450 จุด ทั้งนี้มองตัวเลขเงินเฟ้อจีนจะออกมาต่ำกว่าคาดทำให้จีนอาจออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจชุดใหม่ และเฟดมีแนวโน้มปรับลดดอกเบี้ยนโยบาย 25 bps ซึ่งจะส่งผลดีต่อบรรยากาศลงทุนในตลาดหุ้น รวมไปถึงการเลือกตั้ง ปธน. สหรัฐฯ คาดจะทำให้แนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯ มีความชัดเจนมากขึ้น ทั้งนี้อาจจะมีความผันผวนที่สูงหากนายโดนัลด์ ทรัมป์ ชนะการเลือกตั้ง ปธน. ส่วนปัจจัยในประเทศน่าจะถูกขับเคลื่อนด้วยผลประกอบการไตรมาส 3/67 ของ บจ. ไทยเป็นสำคัญ แต่อย่างไรก็ดี ความผันผวนของค่าเงินและ Fund Flow ที่ยังไหลออกจากตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชีย ยังเป็นแรงกดดันต่อ Upside ของ SET ที่ 1,500 จุด ดังนั้นกลยุทธ์ลงทุนจึงแนะนำให้ “Selective Buy” ใน 4 ธีมหลักที่มีปัจจัยบวกเฉพาะตัว ดังนี้
1.หุ้น Earning Play ซึ่งหากนักลงทุนต้องการเก็งกำไรระยะสั้นสำหรับหุ้นที่คาดสัปดาห์หน้าจะมีการประกาศกำไรไตรมาส 3/67 ออกมาเติบโตดีจากงวดเดียวของปีก่อน เลือก TIDLOR, CPAXT, TU, BCH, MTC, CBG และ WHA ขณะที่แนะนำระมัดระวังกลุ่มที่มีความเสี่ยงไตรมาส 3/67 งบออกมาแย่กว่าตลาดคาด อาทิ กลุ่มพลังงานและปิโตรเคมีจากราคาน้ำมันลดลง
2.หุ้น Global Play ซึ่งคาดระยะสั้นยังได้ประโยชน์จากเงินบาทอ่อนค่า และผลประกอบการยังฟื้นตัวต่อเนื่อง โดยไตรมาส 3/67 คาดกำไรเติบโตจากงวดเดียวกันของปีก่อน และครึ่งหลังของปี 67 คาดกำไรยังแข็งแกร่ง HoH และ YoY อีกทั้งเลือก KCE, TU, MINT, AOT
3.หุ้นที่จ่ายปันผลสูงและคาดได้อานิสงส์จากการเป็นเป้าหมายสะสมของกองทุนวายุภักษ์และกองทุนที่ได้สิทธิประโยชน์ทางภาษีช่วงปลายปี อาทิ SSF, RMF และ THAIESG แนะนำหุ้น SET100 ที่คาดให้ Dividend Yield ขั้นต่ำปีละ 3.5% และมี ESG Rating สูงตั้งแต่ระดับ AA-AAA และ CG ระดับ 5 ดาว อีกทั้งมีฐานะการเงินแข็งแกร่ง และผลประกอบการมีแนวโน้มเติบโตได้ในปี 2568 เลือก BBL, ADVANC, HMPRO, BCP ทั้งนี้แนะนำรอซื้อเมื่ออ่อนตัว หลังราคาหุ้นปรับขึ้นมาแรงในช่วงที่ผ่านมา
- สำหรับนักลงทุนที่ยังกังวลสถานการณ์ในตะวันออกกลางและต้องการหุ้นน้ำมันสำหรับป้องกันความเสี่ยง (Hedging) ยังคงเลือกหุ้นน้ำมันขั้นต้นอย่าง PTTEP
สุกิจ อุดมศิริกุล