MAGURO วิ่งต่อ 3% แย้มผลงานไตรมาส 4 พีกรับ “ไฮซีซั่น” โบรกชูเป้า 21.40 บาท
MAGURO ส่งซิกผลงานไตรมาส 4/67 พีกสุดของปีนี้ รับไฮซีซั่นธุรกิจอาหาร หนุนยอดขายสาขาเดิมโต เล็งเปิดเพิ่ม 5 สาขาใหม่ ย้ำรายได้ปีนี้โต 30% โบรกฯ เชียร์ “ซื้อ” เป้าราคา 21.40 บาท คาดไตรมาส 3/67 กำไรสุทธิ 29 ล้านบาท โต 51% เมื่อเทีบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (4 พ.ย.67) ราคาหุ้น บริษัท มากุโระ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ MAGURO ณ เวลา 18.90 น. อยู่ที่ระดับ 18.90 บาท บวก 0.60 บาท หรือ 3.28% สูงสุดที่ระดับ 19 บาท ต่ำสุดที่ระดับ 18.40 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 46.73 ล้านบาท
โดยก่อนหน้านี้ นายเอกฤกษ์ แสงเสรีดำรง ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และผู้ร่วมก่อตั้ง MAGURO เปิดเผยกับ “ข่าวหุ้นธุรกิจ” ว่า ภาพรวมผลการดำเนินงานในไตรมาส 4/67 จะเติบโตสูงสุด (พีก) ของปี 67 เนื่องจากเป็นช่วงไฮซีซั่นของธุรกิจอาหาร ทำให้ยอดขายสาขาเดิม (SSSG) ที่มีอยู่ 33 สาขา ขยายตัวตาม และรับรู้ยอดขายสาขาใหม่ที่เปิดในไตรมาสก่อนเต็มไตรมาส
ขณะที่ ในช่วงที่เหลือของปี 67 บริษัทมีแผนเปิดสาขาใหม่เพิ่มอีก 5 สาขา จะทำให้สิ้นปี 67 เปิดสาขาใหม่รวมจำนวน 13 สาขา หรือจะมีสาขาให้บริการรวมทั้งสิ้น 38 สาขา โดยสาขาใหม่ที่จะเปิดภายใต้ 5 แบรนด์ แบ่งเป็น แบรนด์เก่า 3 แบรนด์ และแบรนด์ใหม่ 2 แบรนด์ ได้แก่ ร้าน TONKATSU AOKI เป็นร้านหมูทอดทงคัตสึ สาขาแรกที่เซ็นทรัลเวิลด์ วันที่ 19 ธ.ค.67 และอีกแบรนด์จะเปิดเผยชื่อภายใน 2 สัปดาห์นี้ ซึ่งเป็นร้านอาหารแบรนด์ใหม่รูปแบบ All day dining และกำหนดเปิดบริการ 24 ธ.ค.67 ที่ The Flavorhood
นายเอกฤกษ์ กล่าวต่อว่า บริษัทคงเป้าหมายปี 67 จะมียอดขายเติบโตอย่างน้อย 30% จากปี 66 ที่มียอดขายรวมประมาณ 1,040 ล้านบาท ซึ่งเป็นไปตามการขยายสาขาใหม่ที่ได้การตอบรับจากลูกค้าดีเกินคาด และยอดขายสาขาเดิมที่แข็งแกร่ง ขณะเดียวกันบริษัทมีการบริหารจัดการวัตถุดิบดีขึ้น และสามารถต่อรองได้มากขึ้น หลังมีแบรนด์ใหม่เพิ่ม, สาขาบริการ และปริมาณการใช้วัตถุดิบมากขึ้น
นอกจากนี้ บริษัทมุ่งมั่นที่จะมอบประสบการณ์ที่ประทับใจให้กับลูกค้าทุกคน ผ่านแนวคิด “Give More” จึงได้ออกแบบโครงการ The Flavorhood เพื่อเป็น Food Destination หรือศูนย์รวมความอร่อยแห่งใหม่ในเนเบอร์ฮูด (โดยการนำ Flavor หรือรสชาติความอร่อย มาคอลแลบกับ Neighborhood หรือย่านชุมชน) The Flavorhood ประดิษฐ์มนูธรรม เป็นโครงการแรก เชื่อว่าจะได้การตอบรับที่ดี เพราะไม่เคยมีสาขาบริการในโซนนี้
นายจักรกฤติ สายสมบูรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และผู้ร่วมก่อตั้ง MAGURO เปิดเผยกับ “ข่าวหุ้นธุรกิจ” ว่า บริษัทจะประชุมคณะกรรมการบริษัทเพื่ออนุมัติผลการดำเนินงานไตรมาส 3/67 และประกาศงบการเงินในวันที่ 11 พ.ย.67 ซึ่งผลการดำเนินงานในไตรมาส 3/67 ยังเป็นไปตามแผนงานที่วางไว้ ซึ่งยอดขายสาขาเดิมดีกว่าอุตสาหกรรม แม้เป็นฤดูฝน และมีการเปิดสาขาใหม่ 4 สาขาเพิ่มเติมด้วย
ขณะที่ตั้งแต่ต้นไตรมาส 4/2567 บริษัทเห็นสัญญาณที่ดีขึ้นสอดคล้องกับบรรยากาศการจับจ่ายใช้สอยของผู้บริโภคคึกคักขึ้น หลังรัฐบาลมีการเร่งกระตุ้นเศรษฐกิจ และภาคการท่องเที่ยวที่โดดเด่น บวกกับเป็นช่วงเทศกาลเฉลิมฉลอง และมีวันหยุดเยอะ เชื่อว่าจะส่งผลดีต่อร้านอาหารในเครือ MAGURO ลากยาวไปถึงไตรมาส 1/2568
สำหรับในวันนี้ (1 พ.ย.67) บริษัทได้เปิดให้บริการโครงการ The Flavorhood อย่างเป็นทางการ มูลค่าการลงทุนกว่า 70 ล้านบาท ซึ่งมีจุดเด่นคือการนำ 3 ร้านอาหารในเครือมาไว้ในที่เดียวกันบนพื้นที่กว่า 2 ไร่ (เช่า 9 ปี) คือ ร้าน MAGURO, ร้าน HITORI SHABU ซึ่งเปิดให้บริการแล้ว และร้านอาหารแบรนด์ใหม่ ตอบสนองความต้องการในพื้นที่ลาดพร้าว-เกษตรนวมินทร์-เลียบด่วนรามอินทรา-ประดิษฐมนูธรรม และอนาคตยังพิจารณาศึกษาลงทุนในพื้นที่ใหม่ ๆ ด้วย
คาดไตรมาส 3/67 กำไรโต 51%
บทวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ ดาโอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ระบุว่า ยังคงคำแนะนำ “ซื้อ” หุ้น MAGURO ให้ราคาเป้าหมาย 21.40 บาทต่อหุ้น หลังมองธุรกิจร้านอาหารแบบ Full-Service ไทยยังมีการเติบโตต่อเนื่อง มี Penetration Rate ที่ต่ำกว่าคู่แข่ง ยังมีโอกาสเติบโตอีกมากจากการขยายสาขาและแบรนด์ใหม่ มี Brand Awareness และ Brand Loyalty ที่แข็งแกร่ง โดยสัดส่วนรายได้จากสมาชิกสูงถึง 55% และการประเมินค่า (Valuation) ไม่แพงเมื่อเทียบกับการเติบโต
ขณะที่ ผลการดำเนินงานในไตรมาส 3/2567 คาดกำไรปกติจะเติบโต 51% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน สอดคล้องกับรายได้รวมทำสถิติสูงสุดใหม่ 347 ล้านบาท เติบโต 30% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ตามการขยายสาขาเป็น 32 สาขา จาก 21 สาขา ในไตรมาส 3/2567 พร้อมคาดยอดขายจากสาขาเดิม (SSSG) เพิ่มขึ้น 0.5% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และอัตรากำไรขั้นต้นขยายตัว และกำไรปกติจะเติบโต 58% จากไตรมาสก่อน สอดคล้องกับรายได้เติบโต 8% จากการขยายสาขาเพิ่ม 4 สาขา (Maguro 1 สาขา และ Hitori Shabu 3 สาขา) และอัตรากำไรขั้นต้นเพิ่มขึ้นเป็น 46% จากต้นทุน Salmon ลดลง 41%
รวมถึงค่าใช้จ่ายจากการขายและบริหารต่อยอดขาย (SG&A to sales) ปรับตัวลดลง โดยในไตรมาส 2/2567 มี one-time expense ที่ 6.6 ล้านบาท ซึ่งเป็นค่าใช้จ่ายจากการเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนให้กับประชาชนเป็นครั้งแรก (IPO) ดังนั้นประเมินกำไรสุทธิไตรมาส 3/2567 อยู่ที่ 29 ล้านบาท เติบโต 51% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และเติบโต 122% จากไตรมาสก่อน
นอกจากนี้ ได้ปรับประมาณการกำไรสุทธิปี 2567 ขึ้น แต่คงประมาณการปี 2568 โดยปรับประมาณการกำไรสุทธิปี 2567 ขึ้น 6% เพื่อสะท้อนอัตรากำไรขั้นต้นในไตรมาส 3/2567 ที่ดีกว่าคาดมาก จึงประเมินกำไรสุทธิปี 2567 ไว้ที่ 95 ล้านบาท เติบโต 31% จากปีก่อน และกำไรปกติปี 2567 ไว้ที่ 101 ล้านบาท เติบโต 39% จากปีก่อน สนับสนุนจากรายได้รวม 1,340 ล้านบาท เติบโต 28% จากปีก่อนอยู่ที่ 1,044 ล้านบาท ตามการขยายสาขา 13 สาขา และ ticket size ขยายตัว รวมถึงอัตรากำไรขั้นต้นปรับตัวลงจากต้นทุนวัตถุดิบ อาทิ แซลมอนที่สูงในครึ่งปีแรกของปี 2567
ส่วนปี 2568 ประเมินกำไรปกติอยู่ที่ 122 ล้านบาท เติบโต 22% จากปีก่อน เนื่องจากคาดรายได้ที่เติบโตทำสถิติสูงสุดใหม่ต่อเนื่อง 20% จากปีก่อน ซึ่งมาจากยอดขายสาขาเดิมเพิ่มขึ้น 2.7% และขยายสาขา 13 สาขา รวมถึงอัตรากำไรขั้นต้นขยายตัว จากสัดส่วนรายได้ของ Hitori Shabu และ New brands ซึ่ง High Margin ปรับตัวเพิ่มขึ้น