เปิดสถิติดัชนี “SET- S&P500” หลังผ่านวันเลือกตั้งสหรัฐ
เปิดสถิติดัชนี “ตลาดหุ้นไทย-สหรัฐฯ” โอกาสให้ผลตอบแทนหลังผ่านวันเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ
ทั่วโลกกำลังลุ้นผลคะแนนการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐในวันที่ 5 พ.ย. 2567 ซึ่งเป็นหนึ่งในการแข่งขันที่ดุเดือดมากที่สุดในประวัติศาสตร์อเมริกันสมัยใหม่ โดยเฉพาะ “รัฐสวิงสเตต” ซึ่งเป็นรัฐที่พรรครีพับลิกันและพรรคเดโมแครตมักสลับกันครองเสียงส่วนใหญ่ พร้อมกับในปีนี้มี 7 รัฐสวิงสเตต ที่แข่งขันดุเดือดและน่าจับตา ได้แก่ รัฐเพนซิลเวเนีย, รัฐจอร์เจีย, รัฐนอร์ทแคโรไลนา, รัฐมิชิแกน, รัฐแอริโซนา, รัฐวิสคอนซิน และรัฐเนวาดา ตามลำดับ
เนื่องจากภายใต้รัฐธรรมนูญสหรัฐ ผู้ก่อตั้งประเทศกำหนดให้รัฐทั้ง 50 รัฐมีสิทธิลงคะแนนเสียงเลือกประธานาธิบดีของตนเอง แต่ภายใต้ ระบบคณะผู้เลือกตั้ง ที่ซับซ้อน ทำให้แต่ละรัฐจะมีคณะผู้เลือกตั้งจำนวนหนึ่ง โดยอ้างอิงจากจำนวนประชากร เป็นตัวแทนลงคะแนนเลือกตั้งปธน. ซึ่งรัฐส่วนใหญ่มีระบบผู้ชนะได้คะแนนทั้งหมดของรัฐนั้น ๆ จะลงคะแนนเสียงให้กับผู้ที่ได้คะแนนเลือกตั้งสูงสุด โดยแคนดิเดตจะต้องมีเสียงจากคณะผู้เลือกตั้งให้ได้อย่างน้อย 270 เสียง จาก 538 เสียง จึงจะชนะเลือกตั้งสหรัฐ
อนึ่งหากย้อนกับไปดูสถิติตลาดหุ้นสหรัฐฯ และตลาดหุ้นไทย หลังการเลือกตั้งในปี 2559 และ 2563 พบว่าในปี 2559 โดยเริ่มจากตลาดหุ้นสหรัฐฯ หลังจากเลือกตั้งผ่านพ้นไป ดัชนี S&P500 ในช่วงเวลานั้นเริ่มแสดงให้เห็นถึงความโดดเด่นกว่าตลาดหุ้นไทยอย่างชัดเจน หลังจากที่ผ่านไป 1 เดือน หุ้นสหรัฐฯ วิ่งขึ้นมาเกือบ 5% และยังค่อย ๆ วิ่งขึ้นต่อเนื่อง จนผลตอบแทน 6 เดือน และ 1 ปี อยู่ที่ระดับ 12.14% และ 21.26% ตามลำดับ
ขณะที่ตลาดหุ้นไทยการตอบสนองในครั้งปี 2559 ภายหลังการเลือกตั้งแล้วเสร็จ ตลาดหุ้นไทยผันผวนในช่วงแรก โดย 1 วันหลังการเลือกตั้ง ดัชนี SET ร่วงลงประมาณ 20 จุด ก่อนที่จะกระโดดกลับมา 10 จุด ในวันถัดไป และร่วงลงแรงอีก 2 วันติด เกือบ 50 จุด แต่หลังจากนั้น 1 เดือน ดัชนี SET กลับมาเป็นบวก 1% และค่อย ๆ วิ่งขึ้นต่อเนื่อง เมื่อผ่านไปครบ 1 ปี ผลตอบแทนของ SET อยู่ที่ 13.5%
ส่วนการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐในปี 2563 ทางสถิติตลาดหุ้นสหรัฐฯ และตลาดหุ้นไทย หลังการเลือกตั้ง พบว่า โดยทางตลาดสหรัฐฯ ภายหลังจากที่เริ่มต้นนับคะแนนเสียง และสถานการณ์ค่อนข้างสูสีเป็นอย่างมาก แต่ดัชนีS&P500 ภายหลังจากที่เปิดตลาดยังคงร้อนแรงต่อเนื่อง ขยับบวกได้ต่ออีก 2.2% เป็นภาพที่คล้ายกับเมื่อ 4 ปีก่อน ซึ่งตลาดหุ้นสหรัฐฯ เริ่มแสดงให้เห็นถึงความโดดเด่นที่มากกว่าตลาดหุ้นไทย
ส่วนการตอบรับของดัชนีตลาดหุ้นไทยในครั้งนั้น หลังจากที่การลงคะแนนเสียงจบลง และเริ่มต้นนับคะแนนการเลือกตั้ง ตลาดหุ้นไทยค่อนข้างผันผวน โดยช่วงแรกดัชนี SET ปรับเพิ่มขึ้นได้ 9.7 จุด หลังจากที่คะแนนเสียงของ โจ ไบเดน นำอยู่พอสมควร ก่อนที่ดัชนีจะพลิกกลับมาเป็นลบ 6.8 จุด ในช่วงบ่าย เมื่อกระแสของ โดนัลด์ ทรัมป์ ตีกลับและมีโอกาสที่จะเป็นฝ่ายชนะมากขึ้น ท้ายที่สุดแล้วดัชนี SET ปิดบวกได้ 0.09% ตามลำดับ
ด้านบริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด ระบุว่า การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐในวันที่ 5 พ.ย. 2567 เป็นที่จับตาของนักลงทุนทั่วโลก นโยบายที่มีความแตกต่างกันอาจนําไปสู่มุมมองการลงทุนที่ต่างกัน อ้างอิงโดยในเชิงสถิติพบว่า ปีที่มีการเลือกตั้งสหรัฐฯ (ปี 2553-2563) ตลาดหุ้นทั่วโลกจะให้ผลตอบแทนดีหลังผ่านวันเลือกตั้ง ไม่ว่าพรรคใดจะชนะการเลือกตั้งโดยเฉพาะตลาดหุ้นไทยและสหรัฐฯ ที่ให้ผลตอบแทนหลังผ่านการเลือกตั้ง ไป 3 เดือน 9.7% และ 8.5% ทั้งนี้หากพรรค Democrat ชนะ ผลตอบแทนเฉลี่ยจะอยู่ที่ 8.6% และ 9.4% เมื่อเทียบกับกรณีพรรค Republican ชนะการเลือกตั้งที่ให้ผลตอบแทนเฉลี่ย 11.1% และ 6.7% ตามลำดับ
โดยปัจจัยหนุนมาจากความชัดเจนด้านการเมืองและการเริ่มต้นดำเนินนโยบายของสหรัฐฯ และโดยปกติในช่วงไตรมาส 4 จะมีปัจจัยเชิงฤดูกาลหนุนบรรยากาศการลงทุน
สำหรับตามในเชิงสถิติธนาคาร, อสังหาฯ และขนส่งเป็น หมวดธุรกิจที่มีโอกาสให้ผลตอบแทนหลังวันเลือกตั้งโดดเด่นกว่า SET ส่วนเกษตร, ค้าปลีก, พลังงาน และสื่อสาร มีโอกาสผลตอบแทนที่เป็นบวกเช่นกัน ซึ่งใกล้เคียงกับผลตอบแทนของตลาด
นอกจากนี้คาดว่าในปีนี้ตลาดจะได้รับปัจจัยหนุนอื่น เช่น แรงเข้าซื้อหุ้นขนาดใหญ่ในช่วงท้ายปี (Santa Rally), ความต้องการเดินทางและบริโภคที่เพิ่มขึ้นตามฤดูกาล และปัจจัยเฉพาะอย่างการเข้าสู่ภาวะดอกเบี้ยขาลง, ความคาดหวังต่อมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจช่วงสิ้นปี และเม็ดเงินจากกองทุนวายุภักษ์และกองทุนลดหย่อนภาษี
สำหรับกลยุทธ์ลงทุนแนะนํา AOT, AP, BBL, CPALL, GULF และ SIRI ซึ่งคาดได้อานิสงส์บวกจากเม็ดเงินที่จะไหลเข้ามาในภูมิภาคเอเชียหลังการเลือกตั้งสหรัฐ อีกทั้งยังมีปัจจัยหนุนเพิ่มจากปัจจัยฤดูกาลในประเทศ, เม็ดเงินจากกองทุนวายุภักษ์และกองทุนลดหย่อนภาษีและการเข้าสู่ภาวะดอกเบี้ยขาลงช่วยสนับสนุน
ส่วนข้อมูลการประเมินของบริษัทหลักทรัพย์ เอเชีย พลัส จำกัด ในช่วงก่อนหน้ากล่าวว่า จากสถิติดัชนีหุ้นไทยต่อทิศทางการเลือกตั้งสหรัฐ 3 ครั้งก่อนหน้านี้ (ปี 2551, 2555, 2559) พบว่า 1 สัปดาห์หลังเลือกตั้ง ตลาดหุ้นสหรัฐจะปรับลงเฉลี่ย 3.8% และตลาดหุ้นไทยปรับลงเฉลี่ย 2.2% และ 1 เดือนหลังเลือกตั้ง ตลาดหุ้นสหรัฐปรับลงเฉลี่ย 8.3% และตลาดหุ้นไทยปรับลงเฉลี่ย 6.2%