ITC ยอดขายอาหารสัตว์เลี้ยงทะลัก ดันกำไร Q3 โต 51% แตะ 976 ล้านบาท

ITC รายงานกำไตรมาส 3/67 เติบโต 51% แตะ 976 ล้านบาท หลังยอดขายอาหารสัตว์เลี้ยงเพิ่มขึ้น พ่วงบริหารจัดการต้นทุนที่ดี ส่งผลให้งวด 9 เดือน โต 85% แตะ 2.8 พันล้านบาท


บริษัท ไอ-เทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ ITC รายงานผลการดำเนินงานงวดไตรมาส 3 และงวด 9 เดือนแรก สิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2567 มีกำไรสุทธิ ดังนี้

บริษัทฯ รายงานผลการดำเนินงานไตรมาส 3/67 มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 976.22 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 51.47% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 644.52 ล้านบาท ซึ่งเป็นผลมาจากบริษัทฯมีรายได้จากการขายในช่วงไตรมาส 3 ปี 2567 อยู่ 4,435.70 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 10.90% เมื่อเทียบกับปีก่อบ สาเหตุหลักจากความต้องการอาหารสัตว์เลี้ยงที่เพิ่มขึ้นโดยเฉพาะอย่างยิงในทวีปอเมริกาและยุโรป สัดส่วนการขายสินค้าพรีเฆี่ยนที่สูงขึ้น รวมไปถึงกลยุทธ์การปรับราคาของบริษัทฯ

อย่างไรก็ตาม รายได้จากการขายลดลงเล็กน้อย 2.9% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า จากการขายที่ลดลงในทวีปอเมริกาและยุโรปเนื่องจากปัญหาพื้นที่เรือขาดแคลบและการบริหารตู้ขนส่งของลูกค้าหากไม่รวมผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยนรายได้จากการขายจะเติบโตเมื่อเกี่ยบกับปีก่อน

ขณะที่บริษัทฯ ยังกำไรขั้นต้นไตรมาส 3/67 อยู่ที่ 1,320.4 ล้านบาก เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญถึง 71.8% เมื่อเทียบกับปีก่อนสาเหตุหลักจากคำสั่งซื้อที่เพิ่มขึ้น สัดส่วนการขายสินค้าพรีเมี่ยมที่สูงขึ้น รวมทั้งการกลับรายการสำรองสินค้าคงคลัง ต้นทุนการผลิตและราคาวัตถุดิบที่ลดลง

รวบถึงการบริหารจัดการต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ ส่งผลให้อัตรากำไรขั้นต้นต้นอยู่ที่ 29.8% ปรับตัวดีขึ้นจาก 19.2% ในไตรมาส 3 ปี 2566 ส่วนกำไรขั้นต้นลดลงเล็กน้อย 3.5% เนื้อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า จากรายได้จากการมายที่ลดลง ส่งผลให้อัตรากำไรขั้นต้นไตรมาส 3/67 ลดลงเล็กน้อยจาก 30.0% ในไตรมาส 2/67

ส่วนผลการดำเนินงานงวด 9 เดือนแรกของปี 2567 มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 2,806.81 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 85.32% เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่ 1,514.55 ล้านบาท โดยเป็นผลมาจาก บริษัทฯ มีรายได้จากการขายอยู่ที่ 13,031.3 ล้านบาก เพิ่มขึ้น 20.3% เมื่อเทียบกับปีก่อน หลักๆ จากยอดขายที่เพิ่มขึ้นในทุกตลาด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในทวีปอเนริกาและยุโรป เมื่อเทียบกับผลการดำเนินงานที่ลดลงในปี 2566 สัดส่วนการขายสินค้าพรีเมี่ยมที่สูงขึ้นและกลยุทธ์การปรับราคาของบริษัท

อีกทั้ง มีกำไรขั้นต้นอยู่ที่ 3,723.1 ล้านบาก เพิ่มขึ้น 87.0% เมื่อเทียบกับปีก่อน สาเหตุหลักจากรายได้จากการขายที่เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับผลการดำเนิบงานที่ลดลงในปีก่อน ต้นกับการผลิตที่ลดลง การกลับรายการสำรองสินค้าคงคลัง รวมถึงการบริหารจัดการต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพจากแผนบริหารต้นทุน

นายพิชิตชัย วงศ์ปิยะ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไอ-เทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “จากผลการดำเนินงานตลอดทั้งปี 2567 ไอ-เทล มีความมุ่งมั่นที่จะเสริมความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจในฐานะพันธมิตรทางธุรกิจที่น่าเชื่อถือสำหรับกลุ่มลูกค้าแบรนด์อาหารสัตว์เลี้ยงชั้นนำของโลกและ private label ทั้งในสหรัฐอเมริกาและยุโรป โดยบริษัทฯ ให้ความสำคัญกับการนำเสนอและขยายกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่เป็นนวัตกรรม เพื่อรองรับความต้องการที่หลากหลายของผู้บริโภคและตลาดอาหารสัตว์เลี้ยงทั่วโลก รวมถึงการดำเนินงานที่เข้มแข็งและกลยุทธ์ทางธุรกิจเพื่อคว้าโอกาสจากการเติบโตของเทรนด์การดูแลโภชนาการเพื่อสุขภาพที่ดีของสัตว์เลี้ยง”

สำหรับผลการดำเนินธุรกิจช่วง 9 เดือนแรกของปี 2567 ไอ-เทล มีรายได้จากการขายที่ 13,031 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 20.3 เปอร์เซ็นต์ และมีกำไรขั้นต้นเพิ่มขึ้น 87 เปอร์เซ็นต์ อยู่ที่ 3,723 ล้านบาท ขณะที่กำไรจากการดำเนินงานเพิ่มขึ้นถึง 129.9 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งเป็นผลจากความต้องการอาหารสัตว์เลี้ยงเพิ่มขึ้น การบริหารจัดการต้นทุนและประสิทธิภาพการดำเนินงานที่แข็งแกร่ง ส่งผลให้บริษัทฯ รายงานกำไรสุทธิแข็งแกร่งที่ 2,807 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 85.3 เปอร์เซ็นต์ เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ทั้งนี้ บริษัทฯ มีสัดส่วนของยอดขายในสหรัฐอเมริกาคิดเป็น 50 เปอร์เซ็นต์ของรายได้ทั้งหมด ตามด้วยเอเชียและโอเชียเนียอยู่ที่ 34 เปอร์เซ็นต์ และยุโรปที่ 16 เปอร์เซ็นต์ โดยแบ่งสัดส่วนของยอดขายตามประเภทสินค้าหลัก 3 ประเภท ได้แก่ อาหารแมว 72 เปอร์เซ็นต์ อาหารสุนัข 17 เปอร์เซ็นต์ และขนมของสัตว์เลี้ยง 11 เปอร์เซ็นต์ รวมถึงบริษัทฯ ยังได้ออกผลิตภัณฑ์ใหม่ที่มีคุณภาพสูง 890 รายการ เพื่อรองรับความต้องการสินค้าที่เพิ่มขึ้นในทุกภูมิภาค

“นอกจากนี้ ไอ-เทล ยังเดินหน้าการพัฒนาโครงการต่างๆ ภายใต้ความร่วมมือกับลูกค้ารายสำคัญอย่างต่อเนื่องตามแผนงานและเป้าหมายที่วางไว้ ยิ่งไปกว่านั้น บริษัทฯ ยังเดินหน้าอย่างเต็มที่เพื่อนำเสนอผลิตภัณฑ์อาหารกลุ่ม functional ที่กำลังเป็นที่ต้องการของผู้บริโภคเพื่อการดูแลสุขภาพของสัตว์เลี้ยงในระยะยาว อีกทั้ง กลุ่มสินค้า private label ถือเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ผู้บริโภคกำลังให้ความสนใจมากขึ้น ซึ่งถือเป็นโอกาสสำคัญสำหรับไอ-เทล เช่นกันในการส่งมอบผลิตภัณฑ์คุณภาพสูงออกสู่ช่องทางการจำหน่ายและกลุ่มตลาดที่หลากหลายมากยิ่งขึ้น” นายพิชิตชัยกล่าว

จากการให้ความสำคัญกับการพัฒนาความยั่งยืน ล่าสุด ไอ-เทลได้รับรางวัล “อุตสาหกรรมสีเขียว ระดับ 4” ประจำปี 2567 จากกรมโรงงานอุตสาหกรรม ซึ่งเป็นสิ่งยืนยันถึงความตั้งใจของบริษัทฯ ในการผลิตอาหารสัตว์เลี้ยงคุณภาพสูง ควบคู่ไปกับการให้ความสำคัญด้านความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมและการพัฒนาคุณภาพชีวิตที่ดีของคนในสังคม สอดคล้องกับกลยุทธ์ความยั่งยืน SeaChange® 2030 ตลอดจนการผลักดันการมีส่วนร่วมกับชุมชนโดยรอบพื้นที่โรงงานผ่านโครงการเพื่อสังคมต่างๆ อีกด้วย

“ไอ-เทล มีความตั้งใจที่จะก้าวสู่การเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมอาหารสัตว์เลี้ยงและโภชนาการที่ขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรม ซึ่งถือเป็นหัวใจของการดำเนินธุรกิจและมีความสอดคล้องกับความต้องการของผู้บริโภคในปัจจุบัน โดยเรามีความพร้อมและศักยภาพทั้งจากประสบการณ์และความเชี่ยวชาญทางธุรกิจ บุคลากรที่เปี่ยมด้วยความสามารถและสินค้าคุณภาพสูงเพื่อตอบโจทย์ความเป็นอยู่ที่ดีของสัตว์เลี้ยง อีกทั้ง การขยายความร่วมมือกับคู่ค้าและพันธมิตรผ่านการดำเนินงานที่ยั่งยืนในทุกมิติ” นายพิชิตชัยกล่าวสรุป

Back to top button