IROYAL เด้ง 3% ลุ้นคว้างาน “สายสีม่วงใต้” 4 สัญญา 1 พันล้าน โบรกชูเป้า 10.50 บ.

IROYAL บวก 3% กางแผนรุกงานกลุ่มโครงสร้างพื้นฐาน ลุ้นรับงานใหญ่รถไฟฟ้าใต้ดินสายสีม่วงใต้ 4 สัญญา 1 พันล้าน ปิดดีล Q1/68 ตั้งเป้าอัตราการเติบโต 50% ในปี 68 ขยายฐานลูกค้านอกกลุ่มโรงไฟฟ้า ลุยประมูลงาน 1,200 ล้านบาท โบรกฯ ให้ราคาเป้าหมาย 10.20-10.50 บาท


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (6 พ.ย.67) ราคาหุ้น บริษัท อินเตอร์รอแยล เอ็นจิเนียริ่ง จำกัด (มหาชน) หรือ IROYAL ณ เวลา 10:10 น. อยู่ที่ระดับ 6.05 บาท บวก 0.20 บาท บวก 3.42% สูงสุดที่ระดับ 6.25 บาท ต่ำสุดที่ระดับ 5.95 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 41.86 ล้านบาท

นายภณภัทร เมฆาสุวรรณดำรง ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร IROYAL กล่าวว่า จากที่หุ้นเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) เป็นวันแรก โดยเรื่องของราคาเป็นความผันผวนระยะสั้น ตามกลไกของตลาดที่ไม่สามารถควบคุมได้ แต่บริษัทมั่นใจในพื้นฐานที่แข็งแกร่ง จากที่มีทีมงานบริหาร ที่มีคุณภาพ มีความเชี่ยวชาญในการขยายธุรกิจ จึงมั่นใจในแผนธุรกิจระยะยาวของบริษัทที่จะต่อยอดไปยังอุตสาหกรรมอื่น ๆ ได้อีก

“บริษัทมีจุดแข็ง มีแผนธุรกิจที่ชัดเจน เพื่อจะขยายยังไปยังกลุ่มอุตสาหกรรมอื่น ๆ โดยมั่นใจว่าเงินระดมทุนที่เข้ามา จะสามารถสร้างอัตราการเติบโตได้ 50% ในปี 2568 จากการขยายกลุ่มลูกค้ามากขึ้น จะส่งผลให้มีสัดส่วนลูกค้ากลุ่มนอกอุตสาหกรรมไฟฟ้าปรับเพิ่มเป็น 60% จากปัจจุบันมีสัดส่วน 35% ส่วนลูกค้ากลุ่มโรงไฟฟ้าจะมีสัดส่วน 40% จากปัจจุบันมีสัดส่วน 65% เพื่อกระจายความเสี่ยงไปยังนอกกลุ่มอุตสาหกรรมมากขึ้น พร้อมสร้างความมั่นใจกับผู้ลงทุนว่ากลุ่มผู้ถือหุ้นใหญ่พร้อมใจล็อกอัพหุ้น 100% ไม่มีการขายหุ้นออกมา”

ล่าสุดบริษัทได้เสนองานไปยังกลุ่มรถไฟฟ้าใต้ดินสายสีม่วงใต้  4 สัญญา ซึ่งสัญญาละประมาณ 300 ล้านบาท รวม 4 สัญญากว่า 1,000 ล้านบาท คาดว่าจะได้ข้อสรุปภายในไตรมาส 1/2568 หากได้งานภายในปี 2568 จะรับรู้รายได้ในปี 2569 ซึ่งในอนาคตมีแผนจะขยายไปยังกลุ่มโครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructure) มากขึ้น

โดยปัจจุบัน IROYAL และบริษัทย่อยเป็นผู้ให้บริการด้านวิศวกรรมเพื่อจัดหา  และจำหน่ายผลิตภัณฑ์ที่มีลักษณะ เฉพาะกลุ่มบริษัทมีความเชี่ยวชาญในการจัดหาผลิตภัณฑ์ ที่ใช้ในระบบการผลิตของโรงไฟฟ้าและโรงงานอุตสาหกรรม จากผู้ผลิตชั้นนำระดับสากล

ขณะที่สัดส่วนรายได้บริษัทปัจจุบันจะมาจากงานขายประมาณ 60% และเป็นรายได้จากงานขายพร้อมบริการประมาณ 40%  ด้านลูกค้าแบ่งเป็น 2 ส่วน คือกลุ่มโรงไฟฟ้า มีสัดส่วน 65%  (แบ่งเป็นในประเทศ เช่น การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย หรือ กฟผ. บริษัท บี.กริม เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BGRIM และ บริษัท ผลิตไฟฟ้า จำกัด (มหาชน) EGCO เป็นต้น และต่างประเทศมีโรงไฟฟ้าหงสา (สปป.ลาว) และกลุ่มนอกอุตสาหกรรมโรงไฟฟ้า มีสัดส่วน 35% เช่น  บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ PTTGC, บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) หรือ TOP และ บริษัท ทีพีไอ โพลีน จำกัด (มหาชน) หรือ TPIPL เป็นต้น รวมถึงมีการขยายธุรกิจไปในกลุ่มโรงพยาบาล และโรงแรม เป็นต้น

สำหรับปี 2568 บริษัทมีแผนจะประมูลงานประมาณ 1,200 ล้านบาท คาดว่าจะได้ประมาณ 600 ล้านบาท ก็จะส่งผลต่อรายได้ในปี 2568 หากมีงานในกลุ่มธุรกิจเดิม บริษัทมีโอกาสจะได้งานประมาณ 90% แต่หากเป็นธุรกิจใหม่มีเรื่องการแข่งขัน เงื่อนไขต่าง ๆ จึงมีโอกาสจะได้งานประมาณ 50% อย่างไรก็ตาม ธุรกิจเดิมบริษัทมีอัตรากำไรสุทธิ ประมาณ 25% เมื่อไปธุรกิจใหม่ก็จะต้องทำให้ราคาพร้อมที่จะแข่งขันได้ ขณะเดียวกันมองโอกาสในการเข้าซื้อกิจการ (M&A) มูลค่าหลักร้อยล้านบาท คาดว่าจะมีความชัดเจนช่วงไตรมาส 3-4/2568

ส่วนเงินที่ได้รับจากการระดมทุน 377 ล้านบาท จะใช้ในการขยายธุรกิจทั้ง 100% ซึ่งจะใช้ในการประมูลงาน อย่างไรก็ตาม ประมาณ 20% จะใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนภายในบริษัท ทั้งนี้ บริษัทไม่มีหนี้สถาบันการเงิน ไม่มีดอกเบี้ยเงินกู้ เป็นบริษัทที่มีความคล่องตัว ในการขยายธุรกิจในอนาคตได้เร็ว

ทั้งนี้เงินลงทุนของบริษัท ที่ได้จากการระดมทุน 377 ล้านบาท เมื่อรวมกับเงินสะสมของบริษัทจะมีเงิน 400 ล้านบาท ที่จะใช้ในการประมูลงาน โดยบริษัทมีแผนจะเข้าประมูลประมาณ 3-4 งาน คาดจะเกิดการรับรู้รายได้ในปี 2568-2569 จาก ณ สิ้นไตรมาส 2/2567 ที่มีงานในมือที่ยังไม่ได้ส่งมอบ (Backlog) ประมาณ 63 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าจะรับรู้รายได้ในปีนี้ประมาณ 45%

ขณะเดียวกัน บริษัทวางเป้าหมายรายได้ปี 2568 เติบโตไม่ต่ำกว่า 50% และจะโตต่อเนื่องในช่วง 3 ปี โดยมีแผนที่จะขยายธุรกิจไปยังกลุ่มอุตสาหกรรมอื่น ๆ ที่เกี่ยวเนื่อง เพื่อต่อยอดยังกลุ่มปูนซีเมนต์ กลุ่มปิโตรเคมี รวมถึงด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ ส่วนปีนี้พึ่งจะได้รับเงินทุนในการสร้างรากฐานธุรกิจ ดังนั้นภาพรวมผลการดำเนินงานในปีนี้น่าจะใกล้เคียงกับปีก่อน

ด้านการทำกำไร (มาร์จิ้น) ที่สูง ส่วนหนึ่งมาจากการมีความชำนาญเฉพาะด้าน มีการแก้ไขปัญหาให้กับลูกค้าได้ ซึ่งยังไม่มีคู่แข่งที่เสนอบริการได้เหมือนกับบริษัท เมื่อลูกค้าซื้อแล้วก็จะมีการซื้อซ้ำอย่างต่อเนื่อง โดยเมื่อปีก่อนมีการขยายกลุ่มลูกค้าไปยังกลุ่มปูนซีเมนต์ มีสัดส่วนประมาณ 10%

บริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) และ บริษัทหลักทรัพย์ ทรีนีตี้ จำกัด รวมทั้ง บริษัทหลักทรัพย์ ไอร่า จำกัด (มหาชน) ให้ราคาเป้าหมายหุ้น IROYAL ระหว่าง 10.20-10.50 บาท

Back to top button