SAFE โชว์รายได้ 9 เดือนแรก 658 ล้านบาท โต 5% ปักธงเทคโนโลยี PGTSeqA เพิ่มฐานลูกค้า

SAFE โชว์รายได้ 9 เดือนแรก 658 ล้านบาท โต 5% ปักธงเทคโนโลยี PGTSeqA เพิ่มฐานลูกค้าทั้งใน-ต่างประเทศ พร้อมคาดปี 68 กฎหมายสมรสเท่าเทียม หนุนธุรกิจ IVF คึกคักในอนาคต


นพ.วิวัฒน์ กว้างคณานุรักษ์ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านการรักษาผู้มีบุตรยากด้วยเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ทางการแพทย์ ในฐานะประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เซฟ เฟอร์ทิลิตี้ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ SAFE เปิดเผยว่า ภาพรวมผลการดำเนินงานของบริษัทฯ ใน 9 เดือนปี 2567 (สิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2567) มีรายได้จากการขายและให้บริการอยู่ที่ 658.43 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 29.25 ล้านบาท หรือ 4.65% เทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้ 629.19  ล้านบาท ส่วนกำไรส่วนของบริษัทใหญ่ 143.44 ล้านบาท

ทั้งนี้ปัจจัยที่ทำให้รายได้ 9 เดือนแรกปี 2567 เพิ่มขึ้นดังกล่าว มาจากกลุ่มบริษัทฯ มีรายได้จากการให้บริการรักษาผู้มีบุตรยาก และรายได้จากการให้บริการตรวจพันธุกรรมของตัวอ่อนและทารกในครรภ์เพิ่มขึ้น จากการเร่งเข้ามารับการรักษาในไตรมาสที่ 1 ปี 2567 เป็นจำนวนมาก เพื่อให้บุตรเกิดในปีมังกร

สำหรับ PGTSeqA ซึ่งเป็นเครื่องมือในการตรวจและคัดกรองโครโมโซมตัวอ่อนได้แม่นยำและมีประสิทธิภาพมากขึ้น ช่วยเพิ่มอัตราความสำเร็จในการตั้งครรภ์ให้สูงขึ้น จะสามารถดึงดูดกลุ่มลูกค้าทั้งในประเทศและต่างประเทศให้มาใช้บริการเพิ่มขึ้น โดยประเมินว่าเทคโนโลยีนี้จะช่วยการเติบโตและสร้างรายได้ที่ค่อนข้างสูง นอกจากนี้ SAFE ยังเป็นบริษัทเดียวในประเทศไทยที่มีสิทธิ์ในการใช้เทคโนโลยีนี้จากผู้ผลิตในสหรัฐอเมริกา

ขณะที่ “กฎหมายสมรสเท่าเทียม” ที่ประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้ว และจะเริ่มใช้วันที่ 23 มกราคม 2568 ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี เพื่อเปิดทางให้ทำ IVF ให้กับกลุ่มเพศทางเลือก สมรส หญิง-หญิง หรือ ชาย-ชาย แล้วต้องการมีลูกจำเป็นต้องใช้น้ำเชื้อบริจาค การฝากไข่ ซึ่งอาจตั้งครรภ์เอง หรือ ว่าจ้างก็ได้ แต่ทั้งนี้จะต้องมีกฎหมายมารองรับก่อน ส่วนกฎหมายอุ้มบุญ (Surrogacy law = การตั้งครรภ์แทน) หากกฎหมายเริ่มผ่อนคลายและเอื้ออำนวย จะส่งผลให้การให้บริการมีโอกาสเติบโตได้อีก 2-3 เท่า

โดยในปัจจุบัน SAFE เปิดให้บริการรวมทั้งหมด 5 สาขา ได้แก่ สาขาอัมรินทร์ (กรุงเทพฯ), สาขารามอินทรา (กรุงเทพฯ), สาขาศรีราชา (ชลบุรี), สาขาภูเก็ต (ภูเก็ต) และสาขาขอนแก่น (ขอนแก่น) โดยแบ่งสัดส่วนของลูกค้าของบริษัทฯ เป็นคนไทย 53% ต่างประเทศ 47% โดยมาจาก จีน, ญี่ปุ่น, สิงคโปร์, อินเดีย, เวียดนาม และกัมพูชา

Back to top button