พาราสาวะถี
มีใครจะโง่ซ้ำซาก ผิดพลาดซ้ำซ้อนอีกหรือไม่ การบอกนักข่าวว่าแกนนำพรรคร่วมรัฐบาลเข้าพบที่บ้านจันทร์ส่องหล้า เพื่อซดมาม่าหลังที่ เศรษฐา ทวีสิน ถูกศาลรัฐธรรมนูญเขี่ยพ้นเก้าอี้นายกรัฐมนตรี
มีใครจะโง่ซ้ำซาก ผิดพลาดซ้ำซ้อนอีกหรือไม่ การบอกนักข่าวว่าแกนนำพรรคร่วมรัฐบาลเข้าพบที่บ้านจันทร์ส่องหล้า เพื่อซดมาม่าหลังที่ เศรษฐา ทวีสิน ถูกศาลรัฐธรรมนูญเขี่ยพ้นเก้าอี้นายกรัฐมนตรี คือหลักฐานเด็ด เป็นการยอมรับของ ทักษิณ ชินวัตร เอง เข้าข่ายครอบงำชัดเจน คำถามก็คือ หากยึดเอาตามข่าวที่ปรากฏวันนั้นทุกสำนักต่างรายงานตรงกัน มีการเสนอชื่อ ชัยเกษม นิติสิริ เป็นนายกฯ ก่อนที่ สส.และที่ประชุมกรรมการบริหารพรรคเพื่อไทยจะมีมติเป็น แพทองธาร ชินวัตร คล้อยหลังเหตุการณ์แรกไม่ถึง 24 ชั่วโมง
หากยึดตามกระบวนการสอบสวนที่เป็นหลักเป็นการ มันก็ดูจะย้อนแย้งกันอยู่ในที หากอดีตนายกฯ สามารถชี้นำ ครอบงำ พรรคร่วมและพรรคแกนนำรัฐบาลได้ ทำไมผลไม่เป็นไปตามที่ต้องการ ถ้าจะตัดสินแบบมักง่าย เอาความรู้สึกว่า พฤติกรรมที่ปรากฏเป็นข่าวเข้าข่าย ทำให้เชื่อได้ว่าทักษิณมีอิทธิพล มีอำนาจเหนือรัฐบาลและพรรคเพื่อไทยจริง เช่นนั้นคงไม่ต้องมีองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญกันแล้ว เพราะไม่จำเป็นต้องยึดโยงหลักการใด ใช้แค่ความคิด และความเชื่อก็เอาผิดได้
ประสาคนที่ถูกกระทำมาตลอดระยะเวลาเกือบ 20 ปี การกลับมาครั้งนี้จะเห็นได้ว่ากระบวนท่าทางการเมืองของบิ๊กแม้วไม่ได้ดุเดือด เข้มข้นเหมือนในอดีต ทุกย่างก้าวเต็มไปด้วยความระมัดระวัง การสัมภาษณ์ประเด็นไหนที่สุ่มเสี่ยงว่าจะเป็นการท้าทาย หรือทำให้เกิดปัญหาต่อฝ่ายกุมอำนาจ ก็จะออกตัวทันที ด้วยท่วงทำนองแก่แล้ว เป็นเรื่องของคนรุ่นใหม่ หรือไม่ก็ยกให้เป็นการตัดสินใจของลูกสาวในฐานะผู้นำประเทศด้วยตัวเอง
เหนือสิ่งอื่นใด การได้กลับประเทศแบบเท่ ๆ ตามที่เคยได้ประกาศไว้ มันย่อมสะท้อนให้เห็นถึงกระบวนการที่มา และบทสรุป ซึ่งสอดสัมพันธ์กับอำนาจที่จะบริหารประเทศ หากทุกอย่างไม่ลงตัว รัฐบาลพลิกขั้วย่อมเกิดขึ้นไม่ได้ เช่นเดียวกันกับการก้าวข้ามความขัดแย้ง ลืมความเป็นพรรคคู่แข่งคู่แค้นชนิดผีไม่เผาเงาไม่เหยียบ ระหว่างเพื่อไทยกับประชาธิปัตย์มาร่วมงานกันได้ เหล่านี้หากไม่มีตัวเชื่อมแสนวิเศษก็ยากที่จะเกิดขึ้นได้
ไม่ใช่แค่ผลประโยชน์ทางการเมืองลงตัวแล้วทุกอย่างจะลงล็อกได้เหมือนไม่เคยมีปัญหาความขัดแย้งกันมาก่อน อาจจริงที่ว่าไม่มีมิตรแท้ศัตรูถาวรทางการเมือง ต้องไม่ลืมว่าตลอดระยะเวลาของความขัดแย้ง กระทั่งเกิดการรัฐประหารสองครั้งซ้อนในห้วงระยะเวลาห่างกันไม่ถึง 10 ปี เป็นตัวบ่งชี้ความไม่ปกติของการบิดเบือนอำนาจอธิปไตยของประชาชน เพื่อสนองความต้องการของมือที่มองไม่เห็น และเป็นไปตามความปรารถนาที่จะกำจัดระบอบอุปโลกน์ระบอบทักษิณให้หมดไป
ความจริงกลับพบว่าภายใต้อำนาจเผด็จการ คสช. กระทั่งส่งต่อให้ขบวนการสืบทอดอำนาจ ผ่านการใช้รัฐธรรมนูญฉบับปราบโกง ไม่ได้ทำให้ทุกอย่างดีขึ้น ในทางตรงข้ามกลับเลวร้ายลงกว่าเดิม เรื่องที่ไม่ควรถูกท้าทายกลับถูกดึงให้มาเกี่ยวพันเชื่อมโยงกับการเมืองทั้งในระบบ และการเคลื่อนไหวข้างถนนอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน โดยที่อำนาจเผด็จการและเครือข่ายสืบทอดไม่สามารถจัดการอะไรได้ ถึงขั้นฮึกเหิมที่จะล้มล้างกันเลยทีเดียว
ด้วยเหตุนี้ จึงจำเป็นที่จะต้องอาศัยกลไกทางการเมืองในระบอบโดยนักเลือกตั้งอาชีพที่รู้ถึงความพอเหมาะพอดี อยู่ในกรอบของอำนาจที่ควรจะเป็นเพื่อปกป้องไม่ให้พวกสุดโต่งสามารถก้าวไปสู่อำนาจบริหารได้ ย้ำแล้วย้ำอีกว่าเมื่อโจทย์เป็นเช่นนี้จะมีใครเหมาะสมในการที่จะเข้ามาบริหารบ้านเมือง เพื่อให้การเมืองไม่เดินไปนอกลู่นอกทาง และยังสามารถที่จะแก้ไขปัญหาปากท้องของประชาชนได้ ซึ่งทั้งหมดได้ตกลงผ่านดีลลับแล้วว่า หลังการจับมือเข้ามาร่วมกันทำงานแล้ว จะมีการดูแลกันอย่างไร
ไม่ใช่การดูแลเรื่องผลประโยชน์ เพราะของพรรค์นี้พวกเขี้ยวลากดินมองตาก็รู้ใจ แต่เป็นเรื่องความปลอดภัย เสถียรภาพของรัฐบาล ความพยายามที่จะใช้นิติสงครามนั้นหลีกเลี่ยงไม่ได้ และเป็นไปตามที่มีการคาดหมายไว้ หลังการสอยเศรษฐาจะต้องมีกระบวนการและขบวนการนักร้องที่ส่วนใหญ่เป็นพวกรับจ้างผุดขึ้นมาพึ่บพั่บ อาจเกิดคำถามว่าถ้ามีการการันตีเรื่องความมั่นคงของรัฐบาลแล้ว ไฉนเสี่ยนิดถึงมีอันต้องกระเด็นตกเก้าอี้ไปแบบไม่ควรจะโดน
ต้องอย่าลืมว่า ก่อนหน้านั้นมีคดียุบพรรคก้าวไกลไปแล้วหนึ่ง ถึงจะมองกันไว้ล่วงหน้ายังไงก็ไม่รอด พอถึงคดีเศรษฐาจะปล่อยผ่านไปเลยน่าจะกระทบต่อความเชื่อมั่นขององค์กรที่ตัดสิน และไม่แน่ว่าอาจส่งผลถึงเสถียรภาพของรัฐบาลด้วย จะบอกว่านี่เป็นเครื่องสังเวยเพื่อความอยู่รอดปลอดภัยของรัฐบาลมาถึงทุกวันนี้ จะเข้าข่ายเป็นการก้าวล่วง และละเมิดอำนาจการวินิจฉัยในคดี แต่เป็นที่รู้กันว่ากระบวนท่าทางทางการเมืองบางเรื่องจำเป็นที่จะต้องมีผู้เสียสละ คนที่ยอมกลืนเลือด ไม่ว่าจะเจ็บปวดเพียงใดก็ตาม
จะเห็นได้ว่า หลังจากที่รัฐบาลภายใต้การนำของแพทองธารได้ทำงานเต็มที่ ภายในระยะเวลาแค่ 2 เดือนเศษ กระแสตอบรับ ความนิยมของนายกฯ ดีขึ้นทันตาเห็น ไม่ใช่เพราะการแก้ไขปัญหาน้ำท่วมอย่างทันท่วงที มีการแจกเงินหมื่นบาทกับกลุ่มเปราะบางและคนพิการ แต่คนส่วนใหญ่ต้องการเห็นโอกาสของคนไทยที่จะได้ลืมตาอ้าปากเสียที หลังจากที่ต้องตกอยู่ภายใต้สถานการณ์ความอึมครึม การไม่ยอมรับจากนานาประเทศเพราะการมีรัฐบาลที่หลงเหลือคราบไคลเผด็จการ
การเดินสายต่างประเทศของอุ๊งอิ๊งอาจจะไม่ถี่เท่าเศรษฐา เลือกที่จะไปร่วมเวทีที่สำคัญ ๆ แต่ทุกเวทีได้เห็นถึงการตอบรับ ยอมรับจากผู้นำประเทศต่าง ๆ รวมไปถึงการถามถึงอดีตนายกฯ ผู้เป็นพ่อ นั่นแสดงให้เห็นถึงความมั่นใจของต่างชาติที่มีต่อรัฐบาลเริ่มกลับมา เมื่อเกิดความเชื่อมั่นย่อมหมายถึงการพัฒนา และนำพาประเทศก้าวไปข้างหน้าได้ การใช้นิติสงครามอาจสั่นคลอน และทำให้เกิดความหวั่นไหวได้ แต่ไม่ใช่ปัจจัยลบที่จะมาฉุดรั้ง เป็นตัวถ่วงการทำงานของรัฐบาล ยิ่งผลจากการทำงานปรากฏเป็นรูปธรรมมากเท่าไหร่ มันก็เหมือนเกราะป้องกันเสถียรภาพไปโดยปริยายนั่นเอง
อรชุน