PTG เด้ง 5% ขานรับ 9 เดือนกำไรทะลุ 800 ล้าน ปันผล 0.10 บ. มั่นใจปีนี้ธุรกิจน้ำมันโต 15%

PTG ปิดเด้ง 5% รับงบ 9 เดือนกำไรแตะ 806 ล้านบาท เคาะแจกปันผล 0.10 บาท มั่นใจปี 67 คงเป้าการเติบโตของปริมาณการจำหน่ายน้ำมันผ่านทุกช่องทางที่ 10-15%


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (13 พ.ย. 67) ราคาหุ้น บริษัท พีทีจี เอ็นเนอยี จำกัด (มหาชน) หรือ PTG ปิดตลาดอยู่ที่ระดับ 9.35 บาท บวก 0.45 บาท หรือ 5.06% สูงสุดที่ระดับ 9.40 บาท ต่ำสุดที่ระดับ 9.00 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 47.44 บาท

นายพิทักษ์ รัชกิจประการ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่บริษัท พีทีจี เอ็นเนอยี จำกัด (มหาชน) หรือ PTG เปิดเผยถึงการประเมินเรื่องปริมาณการจำหน่ายน้ำมันผ่านทุกช่องทางและอุปสงค์การใช้น้ำมันในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี 67 ยังถือว่ามีทิศทางสดใส พร้อมคงเป้าปริมาณการจำหน่ายน้ำมันปีนี้ จะเติบโตไปถึง 10-15% ตามนัด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ตั้งเป้าอัตราการเติบโตของยอดขายในธุรกิจ Non-Oil (ไม่รวมธุรกิจ LPG) ทั้งลูกค้ารายเดิมและจากกลุ่มลูกค้าผู้ถือบัตรสมาชิก PT Max Card และ PT Max Card Plus  ที่ส่งผลต่อการเติบโตของยอดขายจากสาขาเดิม (Same-Store Sales Growth) ด้วยการทำแคมเปญการตลาดอย่างต่อเนื่องและเดินหน้าขยายสาขาของกาแฟพันธุ์ไทยเป็น 1,282 สาขา ณ สิ้นปี 67

โดยก่อนหน้านี้ PTG ผลการดำเนินงานงวด 9 เดือนของปี 67 (สิ้นสุดวันที่ 30 ก.ย.67) ของบริษัทฯและบริษัทย่อยมีกำไรสุทธิ 806 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 90.1% เทียบงวดเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่ 424 ล้านบาท ส่วนรายได้รวมเท่ากับ 1.67 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้น 12.0% เทียบงวดเดียวกันของปีก่อน อยู่ที่ 1.49 แสนล้านบาท

ทั้งนี้ การเติบโตของรายได้ดังกล่าวมีปัจจัยหลักมาจากธุรกิจ Oil มีรายได้เติบโตที่ 11.0% เป็น  1.54 แสนล้านบาท เนื่องจากปริมาณการจำหน่ายน้ำมันผ่านทุกช่องทางยังคงสร้างสถิติยอดขายสูงสุดใหม่ต่อเนื่องเป็น  5 พันล้านลิตร  หรือเพิ่มขึ้นถึง 13.6% คิดเป็นการจำหน่ายผ่านช่องทางค้าปลีกผ่านสถานีบริการ PT จำนวน 4.8 พันล้านลิตร เพิ่มขึ้น 14.1% เทียบงวดเดียวกันของปีก่อน ซึ่งเป็นผลมาจากการเติบโตของยอดขายสาขาเดิม (Same-Store Sales Growth) ยังคงเติบโตกว่า 10% เทียบจากปีก่อนหน้า ทั้งจากลูกค้าใหม่ และกลุ่มลูกค้าผู้ถือบัตรสมาชิก PT Max Card และ PT Max Card Plus

อย่างไรก็ดี ปัจจัยหนุนจากภาคการท่องเที่ยวที่ขยายตัวและอุตสาหกรรมเกี่ยวเนื่องในรอบ 9 เดือนที่ผ่านมา จึงส่งผลทำให้บริษัทฯ ครองส่วนแบ่งตลาดผ่านช่องทางค้าปลีกผ่านสถานีบริการเพิ่มขึ้นเป็น 21.3% เมื่อเทียบกับ 18.7% ในปีก่อนหน้า โดยบริษัทฯ มีการขยายสถานีบริการน้ำมัน PT เพิ่มขึ้น 1.7% เทียบงวดเดียวกันของปีก่อน เป็น 2,214 สถานี

ด้วยเหตุนี้ PTG ยังคงตั้งเป้าหมายอัตราการเติบโตของยอดขายทั้งปี ในธุรกิจ Non-Oil (ไม่รวมธุรกิจ LPG) ไม่ต่ำกว่า 40-50%  เมื่อเทียบปี 66 รวมทั้งการใช้บริการอย่างต่อเนื่องของกลุ่มลูกค้ารายเดิมและจากกลุ่มลูกค้าผู้ถือบัตรสมาชิก PT Max Card และ PT Max Card Plus  ที่ส่งผลต่อการเติบโตของยอดขายจากสาขาเดิม (Same-Store Sales Growth) ยังคงอยู่ในระดับ 20-30% รวมถึงการทำแคมเปญการตลาดอย่างต่อเนื่อง  โดยบริษัทฯ ยังคงวางเป้าหมายการขยายสาขาของกาแฟพันธุ์ไทยเป็น 1,282 สาขา ณ สิ้นปี ซึ่งยังคงเน้นขยายไปในพื้นที่ที่มีศักยภาพ

สำหรับธุรกิจอื่น ๆ ภายใต้ธุรกิจ Non-Oil บริษัทฯ ยังคงวางแผนขยายสาขาและ Touchpoints อย่างต่อเนื่อง  ซึ่งในปี 67 บริษัทตั้งเป้าจำนวนสาขาธุรกิจ Non-Oil อื่น ๆ เป็นจำนวน 961 Touchpoints เพิ่มขึ้น 329 Touchpoints  โดยการขยายสาขาจำนวนหลักๆ มาธุรกิจศูนย์บริการและซ่อมบำรุงรถยนต์ Autobacs สถานีอัดประจุไฟฟ้า Elex by EGAT PT และสาขาร้านสะดวกซื้อ Max Mart เป็นต้น

นายพิทักษ์ กล่าวสรุปตอนท้ายว่า แนวโน้มการเติบโตของปริมาณการจำหน่ายน้ำมันผ่านทุกช่องทาง และอุปสงค์การใช้น้ำมันในช่วงที่เหลือของปี ยังมีทิศทางที่ดี บริษัทฯ จึงคงเป้าการเติบโตของปริมาณการจำหน่ายน้ำมันผ่านทุกช่องทางที่ 10-15% เทียบปีที่ผ่านมา ซึ่งได้ Upgrade เป้าหมายมาแล้วจาก 8-12%  ที่ตั้งไว้ช่วงต้นปีนี้ และ บริษัทฯ คาดว่าจะมีสถานีบริการน้ำมันครบ 2,251 สาขาภายในปีนี้

อนึ่ง จากผลการดำเนินงานที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น คณะกรรมการบริษัท ได้มีมติอนุมัติการจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลให้แก่ผู้ถือหุ้นสามัญในอัตรา 0.10 บาทต่อหุ้น สำหรับหุ้นจำนวน 1,670 ล้านหุ้น เป็นจำนวนเงินรวม 167 ล้านบาท โดยกำหนดรายชื่อ ผู้มีสิทธิได้รับปันผล (Record Date) ในวันที่ 27 พ.ย.67 และวันไม่ได้รับสิทธิปันผล (XD) ในวันที่ 26 พ.ย.67 โดยกำหนดจ่ายเงินปันผลในวันที่ 12 ธ.ค.67

อย่างไรก็ดี บริษัทฯ ยังคงตระหนักถึงการดำเนินธุรกิจอย่างมีความรับผิดชอบและคำนึงถึงผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกกลุ่ม จึงผนวกความมุ่งมั่นในการพัฒนาธุรกิจสู่ความยั่งยืนเข้ากับกลยุทธ์การดำเนินงานของบริษัทฯ เพื่อหวังเชื่อมให้ทุกคนได้มีโอกาสเข้าถึงชีวิตที่ “อยู่ดี มีสุข” ในทุกช่วงของชีวิต โดยยังคงขับเคลื่อนองค์กรอย่างยั่งยืนในทุกมิติ เพื่อเน้นย้ำความพยายามในการรักษาสมดุลระหว่างการดำเนินงานเพื่อพัฒนาเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมให้ขับเคลื่อนไปด้วยกัน

Back to top button