SICT เร่งลงทุนวิจัย-พัฒนา รับเทรนด์ Animal ID หลังโกยรายได้ Q3 แตะ 129 ล้าน
SICT กวาดรายได้ไตรมาส 3/67 แตะ 129 ล้านบาท มุ่งมั่นลงทุนในงานวิจัยและพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ตอบรับเทรนด์ Animal ID
บริษัท ซิลิคอน คราฟท์ เทคโนโลยี จำกัด (มหาชน) หรือ SICT ผู้ออกแบบและจำหน่ายไมโครชิพอัจฉริยะสัญชาติไทย รายงานผลประกอบการสำหรับไตรมาสที่ 3/2567 ด้วยรายได้จำนวน 129 ล้านบาท ชะลอตัวลงเล็กน้อย 5% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้ 135.8 ล้านบาท และลดลง 36% จากไตรมาสก่อนหน้าที่มีรายได้ 202.9 ล้านบาท
สาเหตุหลักมาจากยอดขายโดยรวมที่ลดลงตามปัจจัยฤดูกาลที่ลูกค้าส่วนใหญ่ในหลายประเทศของบริษัทมีวันหยุดยาวในไตรมาสที่ 3 ประกอบกับการค่าเงินบาทที่แข็งค่าในช่วงระหว่างไตรมาส โดยรายได้ในไตรมาสที่ 3/2567 มีสัดส่วนหลักมาจากไมโครชิพกลุ่มระบบลงทะเบียนสัตว์ (Animal Identification) ซึ่งมีจำนวน 80.3 ล้านบาท เติบโต 32% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ทั้งนี้ 9 เดือนแรกในปี 2567 บริษัททำยอดขายได้ทั้งสิ้น 537 ล้านบาท เติบโตขึ้น 2% และมีกำไรสุทธิจำนวน 89.9 ล้านบาท ลดลง 26% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
สำหรับแนวโน้มในระยะยาวยังคงมีปัจจัยบวกสนับสนุนจากการทยอยบังคับใช้ป้ายทะเบียนสัตว์อิเล็กทรอนิกส์ (Tag) จากทั้งในทวีปออสเตรเลีย และสหรัฐอเมริกา ซึ่งมีความคืบหน้าเพิ่มเติมหลังจากที่กระทรวงเกษตรของสหรัฐอเมริกา(USDA) ได้ผ่านกฎระเบียบการบังคับใช้ Tag ในวัวและไบซันไปก่อนหน้า โดยล่าสุดได้มีการประกาศบังคับใช้อย่างเป็นทางการในวันที่ 5 พฤศจิกายน 2567 ทีผ่านมา และปัจจัยบวกสนับสนุนอื่นๆอีกจากเทรนด์ด้าน Industrial Automation และ Digital Healthcare เป็นต้น
ด้านสถานการณ์สินค้าคงคลังของบริษัทนั้นได้มีการทยอยปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่องจากสิ้นปี 2566 จากการทยอยส่งมอบสินค้าให้กับลูกค้าและการรักษาระดับของสินค้าคงเหลือที่เหมาะสม นอกจากนี้ อัตราหนี้สินต่อทุน (D/E ratio) ได้ปรับตัวลดลงอยู่ที่ 0.36 เท่าจากการทยอยชำระหนี้คืนแก่สถาบันการเงิน สะท้อนให้เห็นถึงสถานะทางการเงินที่แข็งแกร่งของบริษัท และความสามารถในการกู้ยืมเพิ่มเติมเพื่อรองรับการเติบโตในอนาคต
บริษัทยังคงมุ่งมั่นลงทุนในงานวิจัยและพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ควบคู่ไปกับการดำเนินการในเรื่องการสร้างบุคลากรทางด้าน IC Design ร่วมกับหน่วยงานและสถาบันการศึกษาหลายแห่ง ซึ่งในปัจจุบันนั้นมีผู้เชี่ยวชาญด้าน IC Design ที่ไม่เพียงพอ ส่งผลต่อความล่าช้าในการส่งมอบงานและเป็นอุปสรรคอย่างหนึ่งในการขยายตัวของบริษัท อย่างไรก็ตาม บริษัทมีการเร่งแผนงานอย่างสุดความสามารถในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ออกสู่ตลาด ได้แก่ ผลิตภัณฑ์ในกลุ่ม Industrial IoT กลุ่ม NFC ในส่วนของ NFC Sensor และ NFC for luxury brand protection ซึ่งคาดว่ากลุ่มของผลิตภัณฑ์ข้างต้น จะมีส่วนช่วยสนับสนุนการเติบโตรายได้และเพิ่มอัตรากำไรของบริษัทอย่างชัดเจนมากขึ้นในอนาคต
นอกจากนี้ บริษัทยังคงเน้นย้ำความสำคัญด้าน ESG โดยการลดผลกระทบด้านสังคมและสิ่งแวดล้อมจากการดำเนินงาน และผ่านการพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อสร้างความยั่งยืน โดยในไตรมาสนี้บริษัทได้รับมอบ ESG100 Certificate จากสถาบันไทยพัฒน์ต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 ติดต่อกัน และเข้าร่วมการประเมินคาร์บอนฟุตพริ้นท์องค์กรเป็นประจำทุกปีต่อเนื่องมาตั้งแต่ปี 2564 นอกจากนี้ บริษัทยังมีการสนับสนุนกิจกรรมให้พนักงานได้มีส่วนร่วมในการปลูกป่าชายเลน ณ ศูนย์อนุรักษ์ป่าชายเลนคลองโคลน เพื่อฟื้นฟูระบบนิเวศและบรรเทาผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
อีกทั้ง ในไตรมาสที่ 3/2567 บริษัทได้รับรางวัล Forbes Asia Best Under A billion 2024 จาก Forbes Asia และได้รับ 2 รางวัลจากจากเวที SET Awards 2024 ซึ่งประกอบด้วย รางวัล Best Innovative Company Awards (จากนวัตกรรมไมโครชิประบบกุญแจอัจฉริยะสำหรับยานยนต์ของผลิตภัณฑ์ SIC61AU หรือ ULTX) แสดงให้เห็นถึงนวัตกรรมอันโดดเด่น และได้รับต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 ติดต่อกัน และรางวัล Outstanding Investor Relations Awards เป็นรางวัลที่สะท้อนความโดดเด่นในด้านการดำเนินกิจกรรมนักลงทุนสัมพันธ์ซึ่งได้รับต่อเนื่องเป็นปี่ที่ 3 ติดต่อกัน
นอกจากนี้ยังได้รับรางวัล Best IR Awards จากสมาคมนักวิเคราะห์การลงทุน รวมถึงบริษัทได้รับคะแนนการประเมินการกำกับดูแลกิจการในระดับ 5 ดาว (ดีเลิศ) ต่อเนื่องเป็นปีที่ 3 จากสมาคมส่งเสริมสถาบันกรรมการบริษัทไทยอีกด้วย