“คริปโตมายด์” จัดงาน “Thailand Blockchain Week 2024” เจาะลึกเทคฯบล็อกเชน-สินทรัพย์ดิจิทัล

คริปโตมายด์ จัดงาน “Thailand Blockchain Week 2024” ครั้งที่ 7 ภายใต้แนวคิด “Invest, Innovate, Interconnect” มหกรรมงานบล็อกเชนและสินทรัพย์ดิจิทัลที่ใหญ่ที่สุดในไทย ถ่ายทอดความรู้และประสบการณ์จากผู้เชี่ยวชาญชั้นนำระดับโลก โดยมีเป้าหมายที่จะสร้างให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการพัฒนาและเติบโตของเทคโนโลยีบล็อกเชนในระดับภูมิภาคและนานาชาติ


นายสัญชัย ปอปลี ผู้ร่วมก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริการ บริษัท คริปโตมายด์ กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด  เปิดเผยว่า การจัดงาน THBW2024 ในครั้งนี้มีผู้เข้าร่วมทั้งงานหลัก และ Side Event รวมมากกว่า 8,000 คน สะท้อนให้เห็นถึงความตื่นตัวและความสนใจในเทคโนโลยีบล็อกเชนในประเทศ ไทย ถือเป็นความร่วมมือร่วมใจของทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐและภาคเอกชน ที่ร่วมกันผลักดันอุตสาหกรรม สินทรัพย์ดิจิทัลในไทยให้เติบโต โดยมีหัวข้อสัมมนาที่น่าสนใจอย่างมากมาย อาทิเช่น

โดยวิธีรับมือกับการเป็นคนรวยในตลาดกระทิงปีหน้า โดย ลุงโฉลก สัมพันธารักษ์ ผู้ร่วมก่อตั้ง CDC ChalokeDotCom นายภัทรพล ศิลปาจารย์ เจ้าของช่อง Paul Pattarapon และนายพีรพัฒน์ หาญคงแก้ว Chief Investment Officer บริษัท คริปโตมายด์ แอดไวเซอรี่ จำกัด ที่ได้พูดคุยถึง Bitcoin ว่าระยะยาวอยู่ในตลาด Bull run อยู่แล้ว แต่ระยะสั้นถือว่าเพิ่งเริ่มต้น ยังมีเวลาเก็บสะสม ได้อีกเรื่อย ๆ มองว่า Bitcoin เป็น Store of wealth ที่เก็บความมั่งคั่ง เป็นสิ่งใหม่ที่ทำหน้าที่แทนเงินได้ ในอนาคตทุกคนต้องซื้อ Bitcoin ส่วนจะซื้อเท่าไหร่นั้น คำตอบคือซื้อเท่าที่มีความรู้

นอกจากนี้ Donald Trump มีนโยบายจะทำให้ Bitcoin เป็น National Reserve Currency ของประเทศอเมริกา และเวลานั้น Bitcoin จะทำ New High ใหม่อีกครั้ง จึงมองว่าการลงทุนใน Bitcoin ระยะยาวมีแนวโน้มที่ดีมาก ประกอบกับคนจะหาสินทรัพย์เพื่อปกป้องตัวเองจากเงินเฟ้อ อีกทั้งความต้อง การที่เพิ่มขึ้น ส่งผลให้ยิ่งราคาสูงมากขึ้น ยิ่งถ้าอเมริกาทำให้ Bitcoin เป็น Reserve Currency ประเทศอื่น ๆ ก็ต้องตามมา อีกเรื่องหนึ่งที่น่าสนใจคือ BlackRock มี gold ETF ซึ่งต้องใช้เวลาประมาณ 20 ปี ถึงจะมีมูลค่า $30 billion แต่ Bitcoin ETF นั้นใช้เวลาเพียงแค่ 1 ปี ก็สามารถมีมูลค่า  $30 billion แล้วในตอนนี้

ทั้งนี้ การศึกษาเรื่องการลงทุนเป็นสิ่งที่สำคัญมาก อย่าเข้ามาแบบนักพนัน สำหรับการลงทุน ลุงโฉลกให้ความสำคัญกับ 3M ได้แก่ Mindset ถ้ามี Mindset ที่ดี Money Management หรือ การบริหาร เงินของคุณก็จะถูกต้อง และสุดท้าย Method วิธีเทรดก็จะถูกต้องด้วย  นอกจากนี้ การลงทุนต้องมี 3 พร้อม พร้อมด้านการเงิน พร้อมด้านความรู้ พร้อมด้านอารมณ์ เพราะปัจจุบัน Bitcoin กลายเป็นสินทรัพย์ mainstream แล้ว การมีความรู้มากกว่าก็จะสามารถทำกำไรได้มากกว่า

อีกทั้งเวทีที่น่าสนใจในปีนี้ได้แก่การสนทนาให้หัวข้อ “เป็นไปได้หรือที่คนจะรวยในระบบเงินเฟ้อ” โดย อ. ตั๊ม พิริยะ สัมพันธารักษ์ ผู้ก่อตั้ง Right Shift และกรรมการผู้จัดการ CDC ChalokeDotCom และ CK Cheong ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร แพลตฟอร์มรวมฟรีแลนซ์ Fastwork

อ.ตั๊ม กล่าวว่า “เงินเฟ้อคืออาชญากรรม” ภาวะเงินเฟ้อที่สูงเกินไปเป็นปัญหาสำคัญที่ส่งผล กระทบต่อเศรษฐกิจและสังคมในวงกว้าง การปล่อยสินเชื่อโดยไม่พิจารณาความสามารถในการชำระหนี้ และนโยบายการเงินที่เอื้อต่อการขยายตัวของปริมาณเงิน อาจเป็นปัจจัยสำคัญที่ก่อให้เกิดภาวะเงินเฟ้อ ซึ่งนำไปสู่ความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ

ด้าน CK กล่าว แม้ว่าเงินเฟ้อจะเป็นปัจจัยสำคัญในการกระตุ้นเศรษฐกิจ แต่การที่อัตราเงินเฟ้อสูง เกินไปก็เป็นสิ่งที่ไม่พึงประสงค์ ซึ่งในโลกความเป็นจริง ยังไงก็ต้องมีเงินเฟ้อเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ กระตุ้น การใช้จ่าย ทำให้ธุรกิจดำเนินต่อไปได้ เมื่อเศรษฐกิจดี SME ก็จะเติบโต

จุดที่ทั้ง 2 ท่านเห็นตรงกันได้แก่ ที่ผ่านมา Bitcoin มีตลาดขนาดเล็ก ทำให้เกิดความผันผวน 16 ปี ที่ผ่านมาตลาดมีขนาดใหญ่ขึ้น ทำให้มีความเสถียรมากขึ้น ซึ่งหากถ้าจะลงทุนใน Bitcoin อย่าซื้อเพราะ ราคา ต้องซื้อเพราะมูลค่า ขณะที่เงินเฟียตมีไม่จำกัด แต่ด้อยค่าลงเรื่อยๆ ซึ่งสวนทางกับ Bitcoin ที่มี จำนวนจำกัด มูลค่ามีแต่จะเพิ่มขึ้น เปรียบได้ว่า Bitcoin คือทองของอนาคและจะเป็นเครื่องมือในการรักษา ความมั่งคั่ง

ทั้งนี้โอกาสในอุตสาหกรรมสินทรัพย์ดิจิทัลของไทยบนเวทีโลก โดย นายสัญชัย ปอปลี ผู้ร่วมก่อตั้ง และ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท คริปโตมายด์ กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด และ นายศิธา ทิวารี ผู้ถือหุ้น บริษัท  Lonprayah High Speed Ferries ปี 2018 ถือเป็นช่วงเวลาที่เทคโนโลยีบล็อกเชนได้รับความนิยมอย่างสูงในประเทศไทย มีโครงการ สตาร์ทอัพและการระดมทุนผ่าน ICO เกิดขึ้นมากมาย แต่ด้วยปัจจัยต่าง ๆ เช่น ตลาดหมี ทำให้การเติบโต ชะลอตัวลง อย่างไรก็ตาม ในปี 2024 นี้ รัฐบาลไทยได้ให้ความสำคัญกับการออกใบอนุญาตและส่งเสริมให้ มีการนำบล็อกเชนมาใช้ในภาคธุรกิจมากยิ่งขึ้น จากผู้เล่นเดิมที่เคยเป็นสตาร์ทอัพ ก็เริ่มมีผู้ประกอบการที่ เป็นองค์กรขนาดใหญ่มากขึ้น

นอกจากนี้ในเชิงของภาครัฐ เทคโนโลยีบล็อกเชนนับว่าได้รับการส่งเสริมอยู่เช่นกัน แต่ต้องยอมรับว่า Adoption หรือเชิงปฏิบัติ หากต้องการให้เกิดขึ้นจริงจำเป็นต้องใช้ผู้ที่รู้จริง อย่างการที่มีนโยบายเงิน Digital Wallet 10,000 บาท ตอนแรกเริ่มที่อยากใช้เทคโนโลยีบล็อกเชน แต่สุดท้ายแล้วก็ไม่ได้ใช้เนื่องจากข้อจำกัด หลาย ๆ อย่าง ทั้งที่ความจริงแล้วเราสามารถใช้เทคโนโลยีบล็อกเชนได้ และการที่จะทำให้นโยบายใด นโยบายหนึ่งเป็นได้จริง จำเป็นต้องใช้คนทั้งองค์กร ไม่ใช่แค่เพียงคนบางกลุ่ม หากจะเปลี่ยนประเทศไทยให้กลายเป็น Technology Hub จำเป็นต้องดึงคนเก่ง ๆ เข้ามาด้วย Proactive Approach สร้าง Ecosystem ให้เขาได้ทำงาน สิ่งนี้ยังเป็นการดึงเม็ดเงินเข้าสู่ประเทศไทยด้วย เนื่องจากคนกลุ่มนี้มี Spending ที่ค่อนข้างสูง ถือเป็นโอกาสของประเทศไทย

อสังหาฯ vs. บิตคอยน์ สินทรัพย์ไหนจะมีอนาคตในยุคนี้? โดย ดร. วิชิต ซ้ายเกล้า ผู้ก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร Chitbeer กูรูด้านบิตคอยน์ และ ดร.โสภณ พรโชคชัย ประธาน ศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย

ดร.โสภณ กล่าว ยอมรับว่า Bitcoin เป็นสินทรัพย์ที่โดดเด่นและยังไม่มีอะไรเทียบได้ในตอนนี้ แถมมีการเติบโตที่น่าสนใจ งแต่ที่น่ากังวลคือต้นทุนการขุดที่เพิ่มสูงขึ้น ถึงแม้ว่าราคาบิทคอยน์จะพุ่งสูงขึ้น ตามเช่นกัน สำหรับอสังหาริมทรัพย์ หากเทียบที่ดินกรุงเทพในสมัยก่อนจะพบว่าราคาขึ้นมากกว่า 40 เท่า แต่ระหว่างทางก็มีโอกาสที่ราคาจะปรับลดลงเช่นกัน หากซื้อในช่วงที่ทุกคน panic ก็เป็นโอกาสที่จะได้ของถูก

สำหรับเรื่องเงินเฟ้อมองเป็นเรื่องธรรมดา อุปทานเงินเฟ้อเป็นเรื่องที่คิดไปเอง ราคาข้าวของไม่ได้เฟ้อ อย่างที่คิด อัตราเงินเฟ้อในประเทศไทยไม่ถึง 1% แต่ว่าดอกเบี้ยเงินฝากของเรามากกว่า 1% และถ้าดู Warren Buffet ก็พบว่ามีการถือเงินสดเพิ่มขึ้น ถ้าเราเป็นคนมีฐานะดี เราจะไม่กลัวเงินเฟ้อ อย่าไปกลัวเงิน เฟ้อมาก ก็แค่เอาเงินไปทำอย่างอื่น เลือกซื้อให้เหมาะสม

ด้าน ดร. วิชิต กล่าวว่า 10-15 ปี ที่ผ่านมา ไม่มีสินทรัพย์ไหนสู้ Bitcoin ในเรื่อง Performance ได้ สิ่งหนึ่งที่ทำให้ราคาสูงขึ้น เนื่องจากปัญหาระบบการเงินที่เสื่อมค่าไปทุกวัน จึงมองว่า Bitcoin ไม่ใช่เรื่องการ ลงทุน แต่เป็นเรื่องการเก็บออม สมัยก่อนเวลานึกถึงการออม ก็อาจจะนึกถึงพันธบัตร ทองคำ ซึ่งเวลาจะใช้ก็ ต้องเอาไปเปลี่ยนไปเป็นอย่างอื่น แต่ Bitcoin เป็นเครื่องมือเก็บความมั่งคั่งที่เหมาะสมที่สุด

ขณะที่ความผันผวนของ Bitcoin นั้นตนเองมองว่าเป็นเรื่องของคนสายตาสั้น แต่ Bitcoiner เป็นคนที่มองยาว เหมือนน้ำในทะเล ถ้ามองใกล้ ๆ ก็เห็นว่ามันมีคลื่น มันผันผวน แต่ข้างนอกมันสงบจะตาย แต่จะดูที่ความผันผวนอย่างเดียวไม่ได้ ต้องดูสัดส่วนของ Return ด้วย

สุดท้ายแล้ว คนที่มีเงินมากก็จะมีทางให้เลือกมากกว่า แต่คนเบี้ยน้อยหอยน้อยก็คงเลือกมากไม่ได้ เพราะถ้าจะซื้ออสังหาฯ อย่างน้อยก็ต้องมี 1 ล้านบาท ซื้อทอง 1 สลึง ก็ต้องมี 10,000 บาท แต่สำหรับ Bitcoin มี ถ้ามี 100 ก็ออม 100, ถ้ามี 1,000 ก็ออม 1,000 ซึ่งมีความยืดหยุ่นมากกว่านั่นเอง

สำหรับรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับบริษัทเราโปรดดูได้ทางเว็บไซต์ https://cryptomind.groupและ https://merkle.capital/ *บริษัท คริปโตมายด์ กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จํากัด ไม่ใช่ผู้ประกอบธุรกิจภายใต้การกำกับดูแลของสำนักงาน ก.ล.ต.

Back to top button