เปิดงบไตรมาส 3 “ธุรกิจเสริมความงาม” MASTER สวยออร่ากำไรทะลุ 100 ล้านบาท
เปิดโผ 3 หุ้น “ธุรกิจเสริมความงาม” ไตรมาส 3/67 เติบโตแข็งแกร่ง ฟาก MASTER กวาดกำไรแตะ 109.38 ล้านบาท เติบโต 9.60% ด้านโบรกฯยังคงแนะนำซื้อ KLINIQ-MASTER-TRP
ต้องยอมรับว่าความสวยความหล่อกลายเป็นความสุขของชีวิตผู้หญิง และผู้ชายยุคสมัยใหม่ “ต้องดูดีทุกส่วนของรางกาย” โดยการดูแลผิวพรรณ หรือปรับเปลี่ยนรูปร่างด้วยการศัลยกรรม ทำให้ธุรกิจเสริมความงามมีบทบาทในปัจจุบันอย่างมาก
“ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์” ได้ทำการรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับ 3 บริษัทที่เป็นผู้ประกอบ “ธุรกิจเสริมความงาม” ซึ่งจดทะเบียนอยู่ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ประกอบด้วย KLINIQ, MASTER, TRP รายงานผลการดำเนินงานงวดไตรมาส 3 /2567 (สิ้นสุด ณ วันที่ 30 ก.ย.2567) ออกมาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
บริษัท มาสเตอร์ สไตล์ จำกัด (มหาชน) หรือ MASTER รายงานผลการดำเนินงานไตรมาส 3/2567 มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 109.38 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 9.60% เมื่อเทียบกับงวดเดียวของปีก่อนมีกำไรสุทธิ 99.80 ล้านบาท ซึ่งเป็นผลมาจากมีรายได้จากการศัลยกรรมเพิ่มขึ้น 46 ล้านบาท เติบโต 12% จากปี 2566 และมีรายได้เพิ่มขึ้นในหัตถการ สุขภาพชาย ศัลยกรรมยกคิ้ว และศัลยกรรมหน้า
นางสาวลภัสรดา เลิศภานุโรจ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร MASTER กล่าวว่า บริษัทฯ คาดผลดำเนินงานในไตรมาส 4/2567 จะเป็นช่วงสำคัญที่ผลักดันทั้งรายได้และกำไร โดยคาดจะเห็นการเติบโตที่โดดเด่นจากลูกค้าต่างชาติ ด้วยแรงหนุนจากลูกค้าในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อาทิ อินโดนีเซีย เมียนมาร์ กัมพูชา และลาว รวมถึงในประเทศเข้าสู่ช่วงไฮซีซัน (High Season) สอดคล้องกับห้องผ่าตัดใหม่ ที่พร้อมสนับสนุนการเข้ามาทำหัตถการของลูกค้าที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้บริษัทฯ มีความมั่นใจว่าแนวโน้มผลประกอบการช่วงที่เหลือของปีจะเติบโตแข็งแกร่งอย่างต่อเนื่อง และคาดว่ารายได้ปีนี้โต 20% จากปีก่อน
นอกจากนี้ MASTER ก้าวหน้าอีกขั้นสู่การเป็น “Regional Company” โดยเสริมความร่วมมือกับ MASTER PARTNER ในระดับภูมิภาคอย่างต่อเนื่อง เพื่อรองรับการเติบโต และยกระดับความแข็งแกร่งของบริษัทไปยังตลาดอาเซียน เพื่อเตรียมพร้อมสู่การเติบโตที่มั่นคงและยั่งยืนในฐานะ Regional Company โดย MASTER ตั้งเป้าหมายในปี 2568 ว่าจะต้องมีสัดส่วนจากลูกค้าต่างประเทศ 40% ของรายได้รวม
ด้านบล.ทรีนีตี้ ระบุในบทวิเคราะห์ว่า ยังคงคาดการณ์กําไรปี 2567 อยู่ที่ 467 ล้านบาท โดยกําไรใน 9 เดือนแรกของปี 2567 คิดเป็น 65% ของที่คาดการณ์ โดยในไตรมาส 4/2567 จะเติบโตทั้งจากไตรมาสก่อน และเมื่อเทียบกับงวดเดียวของปีก่อน จากกลุ่มลูกค้าต่างชาติที่เพิ่มขึ้น และคาดการรับรู้กําไรจากบริษัทที่ร่วมลงทุนจะเติบโตได้จากไตรมาสก่อน และในปี 2568 คาดกําไรที่ 609 ล้านบาท เติบโต 30% เมื่อเทียบกับงวดเดียวของปีก่อน จากคาดการณ์รายได้เติบโต 20% เมื่อเทียบกับงวดเดียวของปีก่อน
ดังนั้นแนะนํา “ซื้อเก็งกําไร” ปรับราคาเป้าหมายปี 2568 ที่ 65.00 บาท จากการอิงผลประกอบการ 2568 และ P/E ระดับ 32 เท่า เป็นค่าเฉลี่ยย้อนหลังของบริษัท
บริษัท เดอะคลีนิกค์ คลินิกเวชกรรม จำกัด (มหาชน) หรือ KLINIQ รายงานผลการดำเนินงานไตรมาส 3/2567 มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 74.04 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4.36% เมื่อเทียบกับงวดเดียวของปีก่อนมีกำไรสุทธิ 70.95 ล้านบาท โดยมีปัจจัยความสำเร็จมาจากศักยภาพการดำเนินธุรกิจการให้บริการด้านคลินิกเวชกรรมด้านผิวหนังความงามศัลยกรรมตกแต่งและการดูแลป้องกันฟื้นฟูสุขภาพด้วยบริการที่หลากหลาย จึงได้รับการตอบรับที่ดีจากลูกค้า และรายได้จากแผนกศัลยกรรมตกแต่งขยายตัวได้ต่อเนื่อง รวมถึงในไตรมาสนี้มีจำนวนสาขาเปิดใหม่เพิ่มเติมอีก 19 สาขา เพิ่มความสามารถในการให้บริการเข้าถึงกลุ่มลูกค้าได้ดียิ่งขึ้น
นายแพทย์อภิรุจ ทองวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร KLINIQ กล่าวว่า แผนดำเนินงานในไตรมาส 4/2567 จะมุ่งส่งเสริมศักยภาพการให้บริการแก่ลูกค้าที่เข้ามาใช้บริการในทุกแบรนด์ของบริษัทฯ เพื่อผลักดันเป้าปีนี้ให้เติบโต 30% ตามแผนที่วางไว้
ด้านบล.กรุงศรี ระบุในบทวิเคราะห์ว่า จากกำไร 9 เดือนแรกของปี 2567 คิดเป็น 68% ของทั้งปี 2567 อยู่ที่ 328 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 14% มองมี Downside risk ราว 7% ด้าน Outlook ไตรมาส 4/2567 จะเป็นจุดสูงสุดของปีคาดกำไรสุทธิ 82 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5% เมื่อเทียบกับงวดเดียวของปีก่อน และเพิ่มขึ้น 4% จากไตรมาสก่อน และจากภาพฤดูกาล, สาขาใหม่ครึ่งแรกของปี 2567 ที่ผลงานดีขึ้น, ศูนย์ศัลยกรรมที่เริ่มติดตลาดและกลับมากำไรแล้วตั้งแต่ไตรมาส 1/2567 ดังนั้นมองเป็นโซนซื้อสะสมจากปี 2568 ที่ 45 บาท อิง PER25 เท่า คงมุมมองบวกต่อภาพอุตสาหกรรมความงามระยะยาว ยังมีโอกาสเติบโตต่อเนื่อง
บริษัท เอสเตติก คอนเนค จำกัด (มหาชน) หรือ TRP รายงานผลการดำเนินงานไตรมาส 3/2567 มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 38.03 ล้านบาท ลดลง 10.43% เมื่อเทียบกับงวดเดียวของปีก่อนมีกำไรสุทธิ 42.46 ล้านบาท แต่เติบโต 49.02% จากไตรมาสก่อนหน้าอยู่ที่ 25.52 ล้านบาท โดยภาพรวมเกิดจากจำนวนหัตถการด้านการผ่าตัดที่เพิ่มขึ้นโดยที่มีความหลายหลาก ทั้งการผ่าตัดดึงหน้า การผ่าตัดตา การผ่าตัดกล้ามเนื้อตาอ่อนแรง การฉีดเนื้อเยื่อไขมัน รวมถึงการพัฒนาการผ่าตัดจมูกแบบ Semi-Open และ แบบ Open Rhinoplasty ที่ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี
นอกจากนั้น ยังมีการให้บริการ skin & wellness ภายใต้ชื่อ “TRP Longevity” โดยมีการให้บริการด้านการดูแลสุขภาพ (Wellness) การดูแลด้านผิวพรรณ การดูแลด้านเส้นผม โดยมีแพทย์ด้านผิวพรรณและการดูแลสุขภาพ คอยให้คำปรึกษา โดยหลังเปิดให้บริการตั้งแต่ช่วงกลางไตรมาส 2 ที่ผ่านมาก็ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีในไตรมาส 3 นี้ด้วย โดยมีการเติบโตในส่วนนี้ถึง 185% จากไตรมาส 2
ผศ.นพ.ชลธิศ สินรัชตานันท์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร TRP กล่าวว่า แนวโน้มไตรมาส 4/2567 ยังคงคาดการณ์การเติบโตต่อเนื่องจากไตรมาส 3/2567 โดยบริษัทยังคงมุ่งสร้างการเติบโตภายใต้ 3 กลยุทธ์ ประกอบด้วย 1.การออกโปรโมชั่นให้ตรงตามกลุ่มเป้าหมาย เดินหน้ารุก Case Review เพื่อดึงดูดลูกค้าเข้ามาใช้บริการ 2.การสร้าง Branding รักษาฐานลูกค้า และ 3. การเพิ่มยอดการใช้จ่ายของลูกค้าที่เข้ารับบริการทั้งการขายหัตถการอื่นๆ หรือ การขายการบริการในส่วนของ Non-Surgery รวมถึงการขยายความร่วมมือกับพันธมิตรสร้างการเติบโตในระยะยาว พร้อมมองหาโอกาสใหม่ๆ เพิ่มความหลากหลายของผลิตภัณฑ์และบริการ รวมถึงขีดความสามารถในการแข่งขันของธุรกิจ
บล.โกลเบล็ก ระบุในบทวิเคราะห์ว่า รับเพิ่มประมาณการกำไรปี 2567 ลงจาก 138 ล้านบาท สู่ 147 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากประมาณการเดิม 7% แต่หดตัว 24% จากปี 2566 เนื่องจากคาดว่ารายได้ปี 2567 จะชะลอตัว 24% เมื่อเทียบกับงวดเดียวของปีก่อนสู่ระดับ 541 ล้านบาท และเป็นการสร้างฐานรายได้ใหม่เนื่องจากกลุ่มลูกค้า เดินทางท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นแทนการทำศัลยกรรม
นอกจากนี้คาดว่าดีลการซื้อกิจการและการหาพันธมิตรใหม่ที่ยังไม่ชัดเจน ทำให้ไม่มีการเติบโตของรายได้และกำไรจากธุรกรรมดังกล่าว ทั้งนี้คาดการณ์รายได้และกำไรปี 68 ที่ 596 ล้านบาท และ 165 ล้านบาท เติบโต 10% เมื่อเทียบกับงวดเดียวของปีก่อน และ 12% เมื่อเทียบกับงวดเดียวของปีก่อน ตามลำดับ
โดยได้แรงหนุนจาก 1. การออกโปรโมชั่นให้ตรงตามกลุ่มเป้าหมาย 2. การสร้าง Branding รักษาฐานลูกค้า 3. การเพิ่มยอดการใช้จ่ายของลูกค้าที่เข้ารับบริการทั้งการขายหัตถการอื่นๆ และ 4. คาดโรงพยาบาลแห่งใหม่จะแล้วเสร็จภายในไตรมาส 1/2568 เป็นปัจจัยหนุนผลประกอบการเพิ่มเติม
ดังนั้นปรับเพิ่มคำแนะนำเป็น “ซื้อ” จาก “ถือ” พร้อมปรับใช้ราคาเหมาะสมปี 68 ที่ 10.80 บาท เนื่องจาก 1) มี Upside อีก 18% 2) คาดผลประกอบการผ่านจุดต่ำสุดไปแล้วและกำลังฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป และ3) โรงพยาบาลใหม่เริ่มดำเนินการในไตรมาส 1/2568