สุดยอด..นักขาย แฉทุกวัน ทันเกมหุ้น
ในบรรดานักขายอาชีพของไทยนั้น ใครจะเป็นอันดับหนึ่งยากจะตัดสิน แต่หนึ่งในจำนวนหัวแถวนั้น จะต้องไม่ขาดชื่อของ นายทรงพล ชัญมาตรกิจ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ทีวี ไดเร็ค จำกัด (มหาชน) หรือ TVD
ในบรรดานักขายอาชีพของไทยนั้น ใครจะเป็นอันดับหนึ่งยากจะตัดสิน แต่หนึ่งในจำนวนหัวแถวนั้น จะต้องไม่ขาดชื่อของ นายทรงพล ชัญมาตรกิจ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ทีวี ไดเร็ค จำกัด (มหาชน) หรือ TVD
คนที่เคยสนทนากับทรงพล จะรู้ดีว่าเขาช่ำชองแค่ไหนในเรื่องการทำโฮมช้อปปิ้ง เพราะขายเก่งจริงๆ ล้วงกระเป๋าคนซื้อได้ง่ายดายยิ่งกว่าเป่ามนต์ดำพ่อมด จากการที่ TVD เป็นผู้ดำเนินธุรกิจจำหน่ายสินค้าและบริการผ่านช่องทางการตลาดที่หลากหลาย โดยเน้นหนักที่ธุรกิจขายสินค้าผ่านโทรทัศน์ หรือโฮมช้อปปิ้ง
ที่สำคัญ…ทีมขายของTVD ก็ไม่ได้ด้อยกว่ากันสักเท่าใด เรียกว่าฝึกมากับมือทีเดียว
เพียงแต่ผลประกอบการของ TVD สองปีนี้ มันตรงกันข้ามกับฝีมือการขายของทรงพลและคณะ เรียกว่าแยกกันค่อนข้างเด็ดขาด
นับแต่เข้าตลาดมา เริ่มต้นงบปีร 2555 กำไรสวยที่ระดับ 49.82 ล้านบาท จากรายได้ 2,249.32 ล้านบาท ถือว่ามาร์จิ้นต่ำเกินไป แต่ก็ยังดูดี และปีต่อมาก็ไปได้ดีอยู่ ทำท่าทรงตัว แต่พอถึงงวดปี 2557 ก็มีตัวเลขขาดทุน 10 ล้านบาทเศษ สวนทางกับรายได้ที่พุ่งขึ้นไป 2,563.39 ล้านบาท
ปีที่ผ่านมา ก็ปรากฏตัวเลขขาดทุนใน 9 เดือนแรก มากกว่าเดิมอีก เพราะปาเข้าไปถึง 50.88 ล้านบาท เล่นเอาต้องปรับขบวนอุตลุด
ในยามรุ่งเรืองนั้น ทรงพลให้สัมภาษณ์ถึงความฝันในการสร้างอาณาจักรขายสินค้าแบบโฮมช้อปปิ้งว่านอกจากจะขายทางด้านโทรทัศน์แล้วยังจะขยายไปช่องทางอื่นมากขึ้น เพื่อเปิดเกมรุกขยายช่องทางจำหน่ายสินค้าและเข้าถึงกลุ่มลูกค้าทุกกลุ่ม โดยการเปิดสาขาเพิ่มขึ้น และเพื่อหวังเปิดตัวสินค้าใหม่เพื่อสร้างความหลากหลายและแปลกใหม่มากยิ่งขึ้น ที่สำคัญ จะเอาเทคโนโลยีไปขยายต่อในตลาดอาเซียนเพื่อรับมือกับ เออีซี อันเป็นสูตรแห่งชัยชนะ โดยเฉพาะตั้งเป้าขึ้นแท่นเป็น “First home shopping”
การขายสินค้าที่มีกำไรลดลงของTVD มีการวิเคราะห์ว่าเกิดจากค่าเช่าเวลาโทรทัศน์ที่แพงขึ้น และมีจำนวนสต๊อกสินค้าคงค้างที่เพิ่มมาก รวมทั้งการแข่งขันที่รุนแรงจากค่ายอื่นๆที่ทำธุรกิจคล้ายกัน
เมื่อผลประกอบการมีรายได้วิ่งสวนทางกับกำไร นักบริหารที่ดีก็ต้องปรับกลยุทธ์
การขายอันเป็นภารกิจหลักของ TVD จึงกลายสภาพจากการขายสินค้าแบบเดิม มาเป็นการขายสินค้าใหม่มากขึ้น เช่นการขายประกันภัยและประกันชีวิตโดยตั้งบริษัทนายหน้าขายประกัน บริษัท ทีวีดี โบรกเกอร์ จำกัด ขึ้นมา รวมทั้งการขายสินค้าบนออนไลน์มากขึ้นผ่านทางเว็บไซต์ www.tvdirect.tv
งานที่เพิ่มขึ้นมาใหม่นี้ ตั้งอยู่บน 3 กลยุทธ์ดันธุรกิจใหม่ที่ประกอบด้วย 1) เน้นพัฒนาสินค้าที่เป็น House Brand มากขึ้น ซึ่งจะส่งผลให้อัตรากำไรขั้นต้นของบริษัทมีแนวโน้มสูงขึ้น 2) ปรับการบริหารจัดการภายในองค์กรใหม่ โดยเพิ่มช่องทางการจำหน่ายสินค้าทาง Online Shopping, Home Shopping และบริหาร TV Direct Showcase 3) ปรับลดจำนวนสาขาที่ไม่ทำรายได้ดีตามเป้าและเพิ่มพื้นที่ในสาขาที่ดี อีกทั้งยังเตรียมเปิดสาขาใหม่เพิ่ม รวมทั้งเพิ่มจำนวนสินค้า (SKU) ครอบคลุมทุกความต้องการของกลุ่มลูกค้าทุกเพศทุกวัย รวมทั้งสิ้นกว่า 1,000 รายการ
เพียงแต่…ที่ไม่เคยคาดคิดว่าจะต้องขายมาก่อน ชนิดไม่ได้อยู่ในแผนธุรกิจมาก่อนเลย คือ ต้องขายกิจการที่เป็นบริษัทย่อยทั้งทางตรงและทางอ้อม ที่เคยคาดหวังว่าจะเป็นดาวรุ่งผลักดันอาณาจักรให้เติบใหญ่
ด้วยเหตุผลสำคัญเพราะว่า ตัวเลขขาดทุนสะสมของ TVD ที่มีอยู่กว่า 100 ล้านบาท จนไม่สามารถจ่ายปันผลได้ ต้องเร่งล้างให้เร็วสุด
ครึ่งหลังของปี 2558 เป็นต้นมา จึงมีปฏิบัติการ “ขายลูกกิน” ของ TVD เกิดขึ้น เริ่มตั้งแต่การขายตึกที่ทำการของบริษัทลูก TVD เป็นวงเงิน 50 ล้านบาท และขายบริษัทลูกที่ประเทศมาเลเซีย รวมทั้งการขายบริษัททีวี ไดเร็ค ในประเทศกัมพูชา ลาว และเวียดนาม ที่มีผลประกอบการที่แย่ออกไป
เพียงแต่การขายกิจการนั้นไม่ง่ายรวดเร็วเหมือนขายสินค้าทางโทรทัศน์ ดังนั้นควันหลงจากการขายกิจการในมาเลเซียจึงเพิ่งจะปรากฏเมื่อมีการรายงานล่าสุดในสัปดาห์นี้เองว่าบริษัท ทีวีดี เซอร์วิสเซส จากัด (เดิมชื่อ “บริษัท ทีวี ไดเร็ค อินโดไชน่า จากัด”) บริษัทย่อยที่บริษัทฯถือหุ้น 100% ได้ตกลงทำการขายหุ้นบริษัทย่อย จำนวน 1 บริษัท คือ TV Direct (Malaysia) Sdn. Bhd. ในมาเลเซียให้กับผู้อื่นที่เป็นบุคคลภายนอกที่ไม่เข้าข่ายเป็นบุคคลที่เกี่ยวโยงกัน ในราคารวมแค่ 3 ล้านบาท เพื่อลดการขาดทุน
เป้าหมายชัดเจนคือ ล้างขาดทุนสะสม และกลับมาจ่ายปันผลให้ได้
ไม่ว่าการขายดังกล่าวจะถูกหรือแพง แต่ที่แน่นอนก็คือ สามารถขายได้หมดเกลี้ยงตามเป้า
งานนี้ ถือว่า ทรงพล ยังคงรักษาฝีไม้ลายมือให้สมชื่อต่อไป ในฐานะยอดนักขาย
เพียงแต่หวังว่าจะไม่สนุกกับการขายเพลิน จนเผอเรอขายหุ้นที่ถือใน TVD หมดเสียล่ะ
ถ้าเป็นยังงั้น…เป็นเรื่องแน่…อิ อิ อิ..ยอดนักขายก็เถอะ