PSH ตั้งเป้ารายได้ปีนี้ 2.1 หมื่นล้าน จับตาธุรกิจ “รพ.-เฮลท์แคร์” ฟอร์มดี โตสวนอสังหาฯ

PSH คาด Q4/67 กำไรขั้นต้นดีขึ้นกว่า 9 เดือนแรก จากยอดโอนคอนโดฯ ผนวกกับธุรกิจโรงพยาบาลและเฮลท์แคร์ไฮซีซั่นทำให้เติบโตต่อเนื่อง พร้อมคงเป้ารายได้ทั้งปี 21,000 ล้านบาท เตรียมเปิด 3 โครงการบ้านเดี่ยวระดับพรีเมียม


นายภูมิพัฒน์ ฉัตรนรเศรษฐ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ สายงานการเงินและนักลงทุนสัมพันธ์ บริษัท พฤกษา โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ PSH เปิดเผยข้อมูลภาพรวมธุรกิจของบริษัทผ่านงาน Opportunity Day จัดโดยตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เมื่อวันที่ 15 พ.ย. 67 ว่าผลประกอบการ ไตรมาส 3/67 มีรายได้รวม 5,743 ล้านบาท ลดลง 8% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน 6,235 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 373 ล้านบาท ลดลง 5% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน 392 ล้านบาท

โดยแบ่งเป็นรายได้จากธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ 4,620 ล้านบาท ลดลง 12.9% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน 5,306 ล้านบาท โดยทาวน์เฮ้าส์เป็นสัดส่วนของรายได้หลัก แต่ขณะเดียวกันบ้านเดี่ยวและคอนโดมิเนียมก็มีโมเมนตัมที่ดีขึ้น และมีรายได้จากการขายที่ดินเสริมเข้ามา

ขณะที่ธุรกิจโรงพยาบาล มีรายได้รวม 587 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 24% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน 474 ล้านบาท จากจำนวนคนไข้และเคสผ่าตัดที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะที่โรงพยาบาลวิมุต และมีรายได้อื่น ๆ อยู่ที่ 536 ล้านบาท รับรู้กำไรจากการโอนกิจการของบริษัทวิมุต พร็อพเพอร์ตี้ ทองหล่อ จำกัด เข้าสู่กองทุน CapitaLand Wellness Fund รวมถึงค่าเช่าพื้นที่ของทั้งสองธุรกิจหลักและรายได้จากการบริหารสภาพคล่อง

ขณะผลการดำเนินงานงวด 9 เดือนแรกของปี 67 รายได้รวมอยู่ที่ 15,607 ล้านบาท ลดลง 22% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และกำไรสุทธิส่วนที่เป็นของบริษัทใหญ่อยู่ที่ 753 ล้านบาท ลดลง 64% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน 2,082 ล้านบาท  โดยเป็นผลจากธุรกิจอสังหาริมทรัพย์รายได้ลดลง ตามสภาพอุตสาหกรรมโดยรวมที่ได้รับจากสภาวะเศรษฐกิจ ขณะที่รายได้จากโรงพยาบาลยังคงเติบโตต่อเนื่องจากการเพิ่มขึ้นของจำนวนคนไข้ทั้งชาวไทยและต่างชาติ

แบ่งเป็นรายได้ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ 12,930 ล้านบาท ลดลง 24% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน จากกำลังซื้อของผู้มีรายได้น้อยถึงปานกลาง และการปฏิเสธสินเชื่อธนาคารช่วงอัตราดอกเบี้ยขาขึ้น ส่งผลให้ได้รายได้จากทุกกลุ่มผลิตภัณฑ์ในช่วงราคาต่ำกว่า 3 ล้านบาท ได้รับผลกระทบ นอกจากนี้ช่วงโควิด-19 บริษัทฯ ชะลอการขึ้นโครงการคอนโดมีเนียม ส่งผลให้ขาดความต่อเนื่องของการรับรู้รายได้จากการโอนคอนโดมิเนียม อย่างไรก็ตามภาพรวมบริษัทฯ ยังคงมีงานในมือ (Backlog) กว่า 4,800 ล้านบาท คาดว่าจะโอนภายในปีนี้ 2,200 ล้านบาท และมีโครงการสร้างเสร็จพร้อมโอนอีก กว่า 8,400 ล้านบาท

“ถึงแม้จะมีมาตรการกระตุ้นอสังหาฯ จากภาครัฐมาแต่ภาพรวมธุรกิจอสังหาก็ยังคงชะลอตัวต่อเนื่องจาก สภาวะเศรษฐกิจที่ยังไม่ฟื้นตัว ประกอบกับหนี้ครัวเรือนที่ปรับตัวสูงขึ้น ทำให้สถาบันการเงินมีความเข้มงวดกับการอนุมัติสินเชื่อบ้านใหม่ อัตราดอกเบี้ยก็ยังคงตัวอยู่สูง แม้จะมีการปรับลดดอกเบี้ยล่าสุด 0.25% ผนวกกับความไม่แน่นอนเรื่องการเมืองที่มีอิทธิพลต่อนโยบายภาครัฐ” นายภูมิพัฒน์ กล่าว

อย่างไรก็ตาม ผลจากการปรับลดดอกเบี้ยนโยบายของคณะกรรมนโยบายการเงิน (กนง.) จะส่งผลดีต่อภาพรวมของบริษัทอย่างแน่นอน โดยที่ต้นทุนทางการเงินของบริษัทผสมกันระหว่างดอกเบี้ยคงที่กับดอกเบี้ยลอยตัว ขณะที่ปัจจุบันได้ปรับไปทางดอกเบี้ยลอยตัว เพื่อตอบสนองกับเทรนด์ดอกเบี้ยขาลงในอนาคต

ทั้งนี้ในช่วง 9 เดือนแรกของปี พบว่า มูลค่าโครงการเปิดใหม่รวมลดลง 21% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยเฉพาะในไตรมาส 3/67 มีจำนวนโครงการเปิดใหม่น้อยที่สุดในรอบ 3 ปี เป็นผลมาจากผู้ประกอบการชะลอการเปิดโครงการเพื่อรอดูสถานการณ์และปรับสัดส่วนของสินค้าในมือให้ตรงตามกำลังซื้อของตลาดมากที่สุด โดยทาวน์เฮ้าส์และคอนโดมิเนียมระดับต่ำกว่า 5 ล้านบาท ปรับตัวลดลงต่อเนื่อง ขณะที่ผู้ประกอบการเน้นเปิดโครงการบ้านเดี่ยว 15-50 ล้านบาท และคอนโดมิเนียมราคามากกว่า 10 ล้านบาท บนทำเลที่มีศักยภาพหลัก ส่งผลให้มูลค่าเหลือขายทั้งหมดในตลาดเพิ่มขึ้น 15% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยเฉพาะบ้านเดี่ยวที่มีมูลค่าเหลือขายสูงขึ้น 30%

ด้านธุรกิจโรงพยาบาลและเฮลท์แคร์ในประเทศมีแนวโน้มเติบโต้อย่างต่อเนื่อง จากจำนวนประชากรที่อายุมากกว่า 65 ปี ซึ่งคาดว่าภายใน 10 ปีข้างหน้า จะมีสัดส่วนมากกว่า 20% ของจำนวนประชากรทั้งหมดของประเทศ นอกจากนี้ยังมีปัจจัยอื่นที่ทำให้ประเทศไทยเป็นจุดหมายที่ดึงดูด การเข้ารับบริการด้านสุขภาพของชาวต่างชาติ ทั้งค่าบริการไม่สูง ความสะดวกในการเดินทางเข้าประเทศไทย ความน่าสนใจของสถานที่ท่องเที่ยว อาหารและผู้คนในประเทศ ซึ่งช่วงไตรมาส 3 ของปีถือเป็นช่วงไฮซีซั่นของธุรกิจเฮลท์แคร์

นายภูมิพัฒน์ กล่าวอีกว่า เป้าหมายรายได้รวมของปีนี้คาดว่าจะมีรายได้ปิดที่ 21,000 ล้านบาท แบ่งเป็นรายได้จากอสังหาริมทรัพย์ 18,000 ล้านบาท จากโรงพยาบาล 2,300 ล้านบาท และรายได้อื่น ๆ  700 ล้านบาท คาดอัตรากำไรขั้นต้นของไตรมาส 4/67 จะดีขึ้นจากยอดโอนคอนโดมิเนียม และกำไรจากธุรกิจโรงพยาบาลในช่วงไฮซีซั่นจะทำให้ภาพรวมอัตรากำไรขั้นต้น เพิ่มขึ้นจาก 9 เดือนแรกของปีนี้ ขณะที่ได้ตั้งเป้างบลงทุนปีนี้ซื้อที่ดิน 6,500 ล้านบาท โดย 9 เดือนแรกของปีซื้อไปแล้ว 2,500 ล้านบาท ช่วงไตรมาส 4/67 คาดว่าจะซื้อที่ดินเพิ่มอีก 3,000 ล้านบาทก็ใกล้เคียงกับเป้าหมายที่วางไว้ ขณะที่แผนลงทุนในธุรกิจโรงพยาบาลปีนี้ จำนวน  3,200 ล้านบาท ปัจจุบันลงทุนไปแล้ว 700 ล้านบาท คาดว่าไตรมาส 4/67 จะมีลงทุนเพิ่มเติมอีก 1,000 ล้านบาท

สำหรับแนวโน้มบริษัท ในไตรมาส 4/67 บมจ.พฤกษา เรียลเอสเตท เตรียมเปิดโครงการใหม่ โครงการระดับพรีเมียม ภายใต้แบรนด์ เดอะปาล์ม อีก 3 โครงการ เพิ่มบริการด้านการแพทย์และการดูแลสุขภาพแบบองค์รวม จากโรงพยาบาลในเครือวิมุต รวมถึงอำนวยความสะดวกด้วยนวัตกรรมสมาร์ทโฮม ผ่านแอปพลิเคชัน MyHaus เพื่อสนับสนุนการเปิดโครงการรูปแบบ “เวสเนส เรสซิเดนซ์” สู่ 50% ของโครงการที่เปิดใหม่ทั้งหมดในปีนี้

ทั้งนี้ในไตรมาส 4 จะเสนอโปรโมชัน “Last Chance โอกาสสุดท้าย” นำบ้านในสต็อกมาปรับราคาในต้นทุนเดิม พร้อมเงื่อนไข ผ่อนชำระ 0% นาน 12 เดือน เพื่อช่วยลูกค้าระดับกลางถึงล่าง พร้อมทั้งจะเพิ่มช่องทางการขายผ่านตัวแทนต่างชาติเพื่อกระตุ้นยอดขายในช่วงท้ายปีด้วย

น.ส.สุรวีย์ ชัยธำรงกูล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทโรงพยาบาล วิมุต โฮลดิ้ง จำกัด กล่าวว่า ใน 9 เดือนแรกของปี 67 กลุ่มวิมุตมีรายได้รวมอยู่ที่ 1,600 ล้านบาท สูงขึ้น 21% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เป็นผลจากการเพิ่มขึ้นของคนไข้ผ่าตัด คนไข้จากบริษัทประกันเอกชน และคนไข้ต่างชาติ เนื่องจากการทำตลาดเชิงรุกและขยายฐานตัวแทน โดยเดือน ก.ย. ที่ผ่านมา โชว์รายได้สูงสุดสะท้อนความพยายามเร่งผลักดันการขยายการบริการให้ถึงกลุ่มลูกบ้านพฤกษาและคนไข้ทั่วไป

ทั้งนี้เตรียมการเปิดโรงพยาบาลผู้สูงอายุเพื่อการฟื้นฟูที่วัชรพลและแบริ่ง ภายใต้การดูแลของกลุ่ม Chersery Home คาดหวังว่า ไตรมาส 4/67 จะยังคงส่งมอบผลประกอบการที่เติบโตขึ้น พร้อมส่งมอบกลยุทธ์การสร้างศูนย์ความเป็นเลิศ และยกระดับมาตรฐานภายในกลุ่มฯ สู่ขั้นสูงเพื่อรองรับคนไข้ทั้งในและต่างประเทศ

Company Snapshot

Back to top button