“ดาวฟิวเจอร์” ปิดร่วงกว่า 300 จุด หลัง “ปูติน” ขู่ใช้อาวุธนิวเคลียร์

 "ดาวฟิวเจอร์" ปิดร่วงกว่า 300 จุด หลัง "ปูติน" จะใช้อาวุธนิวเคลียร์เพื่อการป้องปรามต่อชาติศัตรูที่มีศักยภาพสูง


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ดัชนีดาวโจนส์ฟิวเจอร์ร่วงลงอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดดิ่งลงกว่า 300 จุด หลังประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน ผู้นำรัสเซีย ขู่ใช้อาวุธนิวเคลียร์ต่อชาติตะวันตก ณ เวลา 20.57 น.ตามเวลาไทย ดัชนีดาวโจนส์ฟิวเจอร์ลบ 345 จุด หรือ 0.79% สู่ระดับ 43,195 จุด

ด้านทำเนียบเครมลินเปิดเผยว่า ประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน ผู้นำรัสเซีย ได้ลงนามในกฤษฎีกาอนุมัติหลักการใหม่สำหรับการใช้อาวุธนิวเคลียร์แล้ว

ทั้งนี้ กฤษฎีการะบุว่า การรุกรานต่อรัสเซียและพันธมิตรของรัสเซียจากชาติศัตรูใด ๆ ซึ่งเป็นพันธมิตรทางการทหารกับชาติอื่น จะถือเสมือนการรุกรานจากทั้งกลุ่มพันธมิตรของชาติศัตรู

นอกจากนี้ การรุกรานจากชาติซึ่งไม่มีอาวุธนิวเคลียร์ แต่ได้รับการสนับสนุนจากชาติซึ่งมีอาวุธนิวเคลียร์ จะถือเสมือนการรุกรานร่วมกันต่อรัสเซีย

กฤษฎีกายังระบุว่า รัสเซียจะใช้อาวุธนิวเคลียร์เพื่อการป้องปราม โดยจะเป็นอาวุธขั้นสุดท้าย และใช้เมื่อถูกสถานการณ์บังคับเท่านั้น ขณะที่รัสเซียจะใช้ความพยายามทั้งหมดเท่าที่จำเป็นในการลดภัยคุกคามจากนิวเคลียร์ และป้องกันมิให้ความตึงเครียดระหว่างรัฐนำไปสู่ความขัดแย้งทางการทหาร ซึ่งรวมถึงการทำสงครามนิวเคลียร์

นอกจากนี้ กฤษฎีการะบุว่า รัสเซียจะใช้อาวุธนิวเคลียร์เพื่อการป้องปรามต่อชาติศัตรูที่มีศักยภาพสูง ซึ่งเป็นประเทศหรือกลุ่มพันธมิตรทางการทหารที่ครอบครองอาวุธนิวเคลียร์ หรือมีความสามารถสูงทางการทหาร

ขณะเดียวกัน รัสเซียจะใช้อาวุธนิวเคลียร์เพื่อการป้องปรามต่อชาติศัตรูที่อนุญาตให้มีการใช้ดินแดนหรือทรัพยากรเพื่อการรุกรานต่อรัสเซีย ท่าทีของรัสเซียดังกล่าวมีขึ้น หลังจากที่รัฐบาลของประธานาธิบดีโจ ไบเดน ผู้นำสหรัฐ ได้อนุมัติให้ยูเครนสามารถใช้ระบบขีปนาวุธ Army Tactical Missile Systems หรือ ATACMS ของสหรัฐโจมตีลึกเข้าไปในดินแดนรัสเซีย ขณะที่รัสเซียเตือนว่า การกระทำดังกล่าวจะเป็นการบ่งชี้ว่าสหรัฐได้เข้าเกี่ยวข้องโดยตรงในการทำสงครามกับรัสเซีย ซึ่งอาจลุกลามกลายเป็นสงครามโลกครั้งที่ 3

นอกจากนี้ นักลงทุนจับตาถ้อยแถลงของเจ้าหน้าที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เพื่อหาสัญญาณบ่งชี้ทิศทางอัตราดอกเบี้ยสหรัฐ

ล่าสุด FedWatch Tool ของ CME Group บ่งชี้ว่า นักลงทุนให้น้ำหนัก 61.6% ที่เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% สู่ระดับ 4.25-4.50% ในการประชุมเดือนธ.ค. และให้น้ำหนัก 55.5% ที่เฟดจะคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับ 4.25-4.50% ในการประชุมเดือนม.ค. 2568 ตลาดจับตาการเปิดเผยผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนในสัปดาห์นี้ ซึ่งรวมถึงบริษัทวอลมาร์ท, ทาร์เก็ต และ Nvidia

ทั้งนี้ บริษัทจำนวน 93% ในดัชนี S&P 500 ได้เปิดเผยผลประกอบการประจำไตรมาส 3/2567 แล้ว โดยบริษัทราว 75% จากจำนวนดังกล่าวมีกำไรสูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ ขณะที่ 61% มีรายได้สูงกว่าคาด

ขณะเดียวกัน นักลงทุนจับตาข้อมูลเศรษฐกิจที่จะมีการเปิดเผยในสัปดาห์นี้ ได้แก่ ตัวเลขการเริ่มสร้างบ้านและอนุญาตก่อสร้าง, จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์, ยอดขายบ้านมือสอง, ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตและภาคบริการจาก S&P Global และดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคจากมหาวิทยาลัยมิชิแกน

Back to top button