โบรกแนะสะสม 6 หุ้นพื้นฐานดี ระยะ 1 ปี หลังลงลึก! หวังรีเทิร์นสูง

บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด ระบุในบทวิเคราะห์ว่า หลังจากผ่านช่วงสถานการณ์โควิดมาถึงปัจจุบัน จะเห็นว่าการลงทุนในตลาดหุ้นไทยมีความยากขึ้น โดยถูกกดดันจากเศรษฐกิจและกำไรบริษัทจดทะเบียนเติบโตช้า และต่ำกว่าคาดการณ์, การเมืองไม่แน่นอน รวมถึงฟันด์โฟลว์ชะลอไหลเข้า กดดันให้ในปี 2565, 2566 และ 2567 มีสัดส่วนจำนวนหุ้นทั้งหมดในดัชนี SET และ MAI ที่ให้ผลตอบแทนรายปีเป็นบวกน้อยกว่าครึ่ง หรือเพียง 31% ในปี 2565, และในปี 2566 ราว 14%, ส่วนในปี 2567 ราว 26% แสดงให้เห็นว่า ตลาดมีจำนวนหุ้นบวกรายปีต่ำ ทำให้การลงทุนต้องพิถีพิถัน และเน้น SELECTIVE BUY มากขึ้น

ดังนั้นฝ่ายวิจัยทำการศึกษา และค้นหาหุ้นที่คาดการณ์ว่าจะเอาชนะตลาด และน่าสะสมสะสมระยะ 1 ปีขึ้นไป ด้วยเงื่อนไขต่างๆ ดังนี้

ทั้งนี้ เลือกหุ้นที่มี SAFETY MARGIN สูง โดยปกติตลาดหุ้นและหุ้นมักจะไม่ลบติดต่อกัน 2 ปี ทำให้หุ้นที่ย่อตัวลงมาในปีนี้ ช่วยลด DOWNSIDE RISK ลงไประดับหนึ่งแล้ว

อีกทั้งเลือกหุ้นที่กำไรปีหน้ามีโอกาสเติบโตเด่น โดยสังเกตได้จากหุ้นที่ขึ้นแรงอันดับต้นๆใน SET100 ในแต่ละปี มักเป็นหุ้นที่กำไรปีนั้นเติบโตเด่นมาก

ดังนั้น ฝ่ายวิจัยฯ จึงทำการค้นหา กลุ่มหุ้นที่ราคาย่อตัวลงมาเยอะ แต่กำไรมีโอกาสเติบโตเด่นในปี 2568 อาทิ PETRO, CONS, MEDIA, TOURISM,CONMAT, ENERG, PKG, FIN

โดยเลือกหุ้นเด่นน่าลงทุนจากในกลุ่มนี้ ได้ผลลัพธ์ หุ้นเด่นน่าเข้าสะสมหวังผลในระยะ 1 ปีขึ้นไป คือ บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด(มหาชน) หรือ SCC, บริษัท เอสซีจี แพคเกจจิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ SCGP, บริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ MINT, บริษัท โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) หรือ GPSC, บริษัท ช.การช่าง จำกัด (มหาชน) หรือ CK, บริษัท แพลน บี มีเดีย จำกัด (มหาชน) หรือ PLANB เป็นต้น

นอกจากนี้ ฝ่ายวิจัยยังค้นหาจุดน่าเข้าสะสมที่เหมาะสมที่สุดรายบริษัท จากการหา OPTIMIZATION ในกรอบการซื้อขาย ผ่านตัวชี้วัดทางเทคนิค อย่างดัชนีความแข็งแกร่งสัมพันธ์ (RSI) โดยการทดสอบย้อนหลังในระยะเวลา 4 ปี ที่ผ่านมา ผลลัพธ์จะได้ช่วงซื้อ (RSI กรอบล่าง) และช่วงขาย (RSI กรอบบน) ที่สามารถสร้างผลตอบแทนได้ดีสุดสำหรับหุ้นตัวนั้นๆ ซึ่งนักลงทุนสามารถติดตามอ่านได้ในบทวิเคราะห์ INVESMENT STRATEGY ฉบับเต็มในวันนี้