พาราสาวะถี

วันนี้ (22 พฤศจิกายน) มาลุ้นกันศาลรัฐธรรมนูญจะรับเรื่องที่ ธีรยุทธ สุวรรณเกษร ขอให้ศาลมีคำสั่งให้ ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และพรรคเพื่อไทย ยุติการกระทำที่เข้าข่ายการล้มล้างการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขหรือไม่


วันนี้ (22 พฤศจิกายน) มาลุ้นกันศาลรัฐธรรมนูญจะรับเรื่องที่ ธีรยุทธ สุวรรณเกษร ขอให้ศาลมีคำสั่งให้ ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และพรรคเพื่อไทย ยุติการกระทำที่เข้าข่ายการล้มล้างการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขหรือไม่ หลังจากที่ทางอัยการสูงสุดมีความเห็นว่าไม่เข้าเกณฑ์ ทั้งหมดอยู่ที่ดุลยพินิจของศาล ไม่รับสัญญาณการเมืองก็จะเป็นอีกแบบ รับไว้พิจารณาก็ไปสู้กันตามกระบวนการ แต่ก็จะเกิดคำถามกับเสถียรภาพของรัฐบาลไม่น้อย

ว่ากันโดยวิธีของพวกที่ใช้นิติสงคราม กรณีนี้มารูปรอยเดิมกับการยื่นยุบพรรคก้าวไกลเป๊ะ ต้องไปวัดกันที่ผลจะลงเอยแบบเดียวกันหรือไม่ อย่างไรก็ตาม บรรดาคอการเมืองที่ติดตามความเคลื่อนไหวของนายใหญ่ ความมั่นอกมั่นใจที่แสดงออก หากไม่ใช่การทำใจดีสู้เสือ น่าจะเป็นสัญญาณที่สะท้อนถึงคำสัญญาตามดีลพิเศษที่ทำให้เกิดรัฐบาลพลิกขั้ว ไม่ว่าจะเผชิญหน้ากับปัญหาข้อร้องเรียนใด ขอให้เชื่อใจว่า ทุกอย่างจะไม่มีอะไรมาระคายเคืองผิว

ส่วนเหตุผลสำคัญที่ทำให้ทักษิณต้องลงไปคลุกปลุกสนามเลือกตั้งนายก อบจ. ให้กลับมาคึกคักเป็นเหมือนสนามเลือกตั้งใหญ่ ที่ต่อสู้กันระหว่างพรรคการเมือง แทนที่จะเป็นเรื่องของบ้านใหญ่ไม่ว่าจะเก่าหรือไม่ หรือคนรุ่นใหม่นั้น ไม่เพียงแต่เป็นการปลุกเร้าความฮึกเหิมของบรรดาผู้สมัครจากค่ายเพื่อไทย และหวังจะสกัดดาวรุ่งจากพรรคประชาชนเท่านั้น ยังรวมไปถึงผู้สมัครจากพรรคร่วมรัฐบาลด้วยกันเอง ที่พบความเคลื่อนไหวทำตัวเงียบแต่ไม่เรียบร้อยหลายพื้นที่

หลายรายหลายจังหวัดพรรคต้นสังกัดประกาศไม่ไปช่วยหาเสียง อ้างว่าเกรงข้อครหาเรื่องความเป็นกลาง แต่แท้จริงมีการส่งเสบียงสนับสนุนกันไม่อั้นโดยเฉพาะพื้นที่เป้าหมาย กล้าที่จะจ่ายเพื่อหวังประกาศศักดา กุมความได้เปรียบไปถึงการเลือกตั้ง สส.ครั้งต่อไป งานนี้เป็นการระดมทุนทั้งจากตัวผู้สมัครและพรรคที่สนับสนุน ชนิดที่ว่าไม่อั้น แค่เริ่มต้นราคาก็ไหลไปที่พันต้น ๆ ต่อหัว เมื่อถึงเวลาน่าจะขยับกันไปอีกสองสามช่วงตัว

จังหวัดที่น่าจับตามองอยู่ทางภาคอีสาน เพราะถือเป็นพื้นที่ช่วงชิงของพรรคหลักในรัฐบาล ถึงเวลานี้คู่แข่งจากพรรคประชาชนแทบไม่อยู่ในสายตา ทั้งตัวบุคคลและแนวทางการทำงานคนในพื้นที่มองเห็นว่าไม่ตอบโจทย์ความเดือดร้อน ส่วนใหญ่จะได้คะแนนหนุนในเขตเมืองมากกว่า พอไปสู้กับต่างอำเภอ การไร้อำนาจรัฐ บวกกับกระสุนที่สาดกันไม่ยั้ง ยังไงก็หมดหนทางที่จะเป็นผู้คว้าชัย ยิ่งเป็นพรรคที่ใช้หัวคะแนนธรรมชาติ เสียงที่จะได้รับก็ต้องเป็นไปตามธรรมชาติเช่นเดียวกัน

ขณะที่การเมืองภาพใหญ่ การแก้ไขรัฐธรรมนูญที่จะต้องอาศัยร่าง พ.ร.บ.ประชามติเป็นตัวชี้วัดว่าจะสามารถดำเนินการได้ทันรัฐบาลนี้หรือไม่ ผลการประชุมคณะกรรมาธิการร่วมกันเพื่อพิจารณาร่างกฎหมายว่าด้วยการออกเสียงประชามติ ครั้งที่ 3 เพื่อหาข้อยุติในมาตรา 7 ซึ่งสภาผู้แทนราษฎรกับวุฒิสภาเห็นแย้งกัน โดยวุฒิสภาเสนอให้แก้ไขเป็นหลักเกณฑ์เสียงข้างมาก 2 ชั้น เป็นไปตามคาดว่าเสียงของ สส.พ่ายแพ้ ด้วยคะแนน 13 ต่อ 9 เสียง ซึ่งสอง สส.จากภูมิใจไทยงดออกเสียง โดยพรรคสีน้ำเงินชัดเจนว่าหนุนเสียงข้างมากสองชั้น

เมื่อเป็นเช่นนี้สุดท้ายก็หนีไม่พ้นการส่งร่างกฎหมายกลับไปสู่การพิจารณาของแต่ละสภา โดยที่สภาผู้แทนราษฎรย่อมไม่เห็นด้วยกับ สว. เมื่อเป็นเช่นนั้นก็ต้องพักร่างกฎหมายดังกล่าวไว้ 180 วัน ก่อนที่สภาผู้แทนราษฎรจะยืนยันร่างกฎหมายเดิมคือเสียงข้างมากชั้นเดียว ซึ่งนั่นจะส่งผลให้การแก้ไขรัฐธรรมนูญจะไม่สามารถทันการเลือกตั้งในปี 2570 สำหรับเพื่อไทยคงไม่เป็นปัญหาถือว่าได้พยายามเต็มที่แล้ว แต่ติดเงื่อนไขตามข้อกฎหมาย

ที่จะถูกนำไปขยายผลในการเลือกตั้งครั้งต่อไปคงหนีไม่พ้นพรรคภูมิใจไทย ในฐานะที่ถูกมองว่ามีสัมพันธ์กับ สว.สีน้ำเงิน อาจกลายเป็นตำบลกระสุนตกฐานะผู้ขัดขวางไม่ให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ นั่นไม่ใช่อุปสรรคในสนามเลือกตั้งสำหรับ อนุทิน ชาญวีรกูล อยู่แล้ว เพราะการเมืองสไตล์พรรคของกุนซืออาจารย์ใหญ่ มุ่งเน้นไปที่ผลการเลือกตั้งแบบเขต เฉพาะพื้นที่ที่หวังผลชัดเจน เป้าหมายตัวเลข สส.อยู่ในระดับไม่น้อยกว่า 60 เสียงขึ้นไป ถือว่าการันตีการได้ร่วมรัฐบาลแน่นอน

อย่างที่บอก ภารกิจร่วมทางการเมืองของพรรครัฐบาลปัจจุบันในการเลือกตั้งครั้งหน้า คือเป้าหมายที่จะต้องจับมือกันทำให้สำเร็จมากกว่าที่จะมาคิดเล็กคิดน้อย ส่วนของเพื่อไทยการแก้หรือไม่แก้รัฐธรรมนูญไม่ได้เป็นปัญหาอยู่แล้ว ขอเพียงได้กลับเข้าสู่อำนาจบริหาร เน้นสร้างผลงานให้เป็นที่ประจักษ์ก็หวังว่าจะกลับมาได้รับความนิยมอีกกระทอก พรรคอื่นจะได้กี่มากน้อยแล้วแต่ความสามารถ เมื่อไม่มีการหักหลังกันเหมือนนายใหญ่เคยเจอมาในอดีต ยังไงรัฐบาลวันนี้ก็มีโอกาสสูงที่จะได้เป็นรัฐบาลต่ออีกสมัย

ในแง่คนส่วนใหญ่ไม่ได้ให้ความสนใจต่อเรื่องที่เป็นปัญหาระหว่างพรรคการเมือง นักการเมือง หรือกลไก ระบบ หลักการอะไรทั้งสิ้น จากการที่ต้องทนแบกความทุกข์จากสภาพเศรษฐกิจที่ถดถอย และไม่มีทีท่าว่าจะฟื้น จนก่อให้เกิดปัญหาหนี้ครัวเรือนมหาศาล จึงต้องการที่จะเห็นรัฐบาลที่มีเสถียรภาพได้ทำงานอย่างเต็มศักยภาพ เพื่อทำให้ชีวิตความเป็นอยู่ดีขึ้น ไม่ต่างจากภาคเอกชน นักลงทุนที่เห็นว่าเวลาล่วงเลยมามากพอแล้ว หลังมีรัฐบาลจากการเลือกตั้ง ควรที่จะปล่อยให้ฝ่ายบริหารได้ทำงานกันเต็มที่ นโยบายดีไม่ดีอย่างไร ผลงานจะเป็นตัวชี้วัด ทุกฝ่ายที่ได้รับผลจากการลงมือทำจะเป็นผู้ตัดสินเอง

เมื่อตีโจทย์แตก มองความต้องการของคนส่วนใหญ่ทะลุ จึงเป็นเหตุผลที่ทำให้ แพทองธาร ชินวัตร ประกาศถีบตัวพ้นจากวังวนของคำถามที่เกี่ยวข้องกับประเด็นทางการเมือง แสดงความมุ่งมั่นที่จะแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจของประเทศ ปากท้องของประชาชนเป็นด้านหลัก ผลโพลของทุกสำนักจากที่คิดว่าเป็นเพียงแค่ความเห็นของคนกลุ่มหนึ่งที่เป็นเป้าหมายการสำรวจ น่าจะไม่ต่างจากความรู้สึก ความต้องการของคนส่วนใหญ่ที่ให้โอกาสนายกฯ หญิงและรัฐบาลได้ทำงาน เพื่อที่จะได้หนีสภาพอันเลวร้ายที่เจอในห้วงเวลากว่า 10 ปีที่ผ่านมา

อรชุน

Back to top button