มองอนาคต “ทักษิณ” ฝ่านิติสงคราม โยงล้ม “เพื่อไทย”
เรียกได้ว่าหักปากกาเซียนเหนือความคาดเป็นอย่างมากในทางการเมือง กับกรณีที่นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ถูกยื่นคำร้องแบบยกเข่งใหญ่ โดยเหมารวมทุกข้อความสงสัยที่เชื่อได้ว่าจะกระทำผิด โดยเป็นคำร้องของ นายธีรยุทธ สุวรรณเกษร ทนายความอิสระ ที่นำเอาเอกสาร มากถึง 5,080 แผ่น ไปยื่นร้องเรียนนายทักษิณต่อศาลรัฐธรรมนูญ
เรียกได้ว่าหักปากกาเซียนเหนือความคาดเป็นอย่างมากในทางการเมือง กับกรณีที่นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ถูกยื่นคำร้องแบบยกเข่งใหญ่ โดยเหมารวมทุกข้อความสงสัยที่เชื่อได้ว่าจะกระทำผิด โดยเป็นคำร้องของ นายธีรยุทธ สุวรรณเกษร ทนายความอิสระ ที่นำเอาเอกสาร มากถึง 5,080 แผ่น ไปยื่นร้องเรียนนายทักษิณต่อศาลรัฐธรรมนูญ เพื่อหวังจะให้วินิจฉัยสั่งการให้นายทักษิณ ที่เป็นถูกร้องที่ 1 และพรรคเพื่อไทย เป็นผู้ถูกร้องที่ 2 ด้วยหัวใจหลักก็คือมีการกระทำที่เป็นการใช้สิทธิและเสรีภาพอันจะนำไปสู่การล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ซึ่งมีคำร้องทั้งหมด 6 ข้อด้วยกัน โดยมีการยื่นเมื่อวันที่ 10 ต.ค 67
การยื่นเรื่องครั้งนับเป็นขวากนามชีวิตหนักของนายทักษิณเป็นอย่างยิ่ง หลังจากที่กลับไทยอย่าเป็นทางจากการที่ลี้ภัยทางการเมืองมาอย่างยาวนาน ไม่เพียงเท่านั้นคำร้องดังกล่าวยังได้พ่วงพรรคเพื่อไทยที่โดนลากคอมาขึ้นเขียงอีกด้วย โดยเป็นข้อกล่าวหาที่รุนแรงและมีโทษทางการเมืองที่หนักหนาสาหัสสำหรับในช่วงที่กำลังเป็นหัวเรือรัฐนาวา โดยที่มีพรรคร่วมอยู่รวมกลุ่มอย่างหลากหลาย
แต่แล้วก็เหมือนเรื่องร้ายๆจะกลายเป็นดี เพราะล่าสุดผลของการประชุมของศาลรัฐธรรมนูญ ทำให้ทราบว่าตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ได้มีมติวินิจฉัยออกมาแล้วจะให้คุณกับนายทักษิณเป็นอย่างมาก นั่นก็คือข้อกล่าวอ้างทั้งหลายนั้นที่ถูกยื่นเรื่อง โดย ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ เห็นว่า ไม่มีน้ำหนักพยานหลักฐานเพียงพอจะทำให้เกิดผลเป็นการใช้สิทธิหรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขตามรัฐธรรมนูญ จึงมีมติเอกฉันท์ ไม่รับไว้พิจารณาวินิจฉัย ตรงนี้เองก็ทำให้นายทักษิณรู้สึกโล่งขึ้นมาทันที
ในทางการเมืองนั้นต้องบอกว่านายทักษิณไม่เพียงจะได้ปลดล็อคทางการเมืองไปได้อีกหนึ่งเปราะ เพราะคนที่ได้ประโยชน์ก็คือฝ่ายคุณทักษิณและพรรคเพื่อไทย แต่เมื่อมองย้อนกลับไปแล้วในช่วงที่ผ่านมา ก็ต้องบอกว่าฝ่ายเพื่อไทยก็ไม่เคยได้แสดงความกังวลต่อปัจจัยเรื่องศาลรัฐธรรมนูญ แม้จะเป็นวันก่อนวันประชุมของศาลรัฐธรรมนูญ ทาง น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ยังได้เดินทางไปเยือนต่างประเทศและได้มีการหารือกับเอกชนต่างประเทศ โดยได้ให้ความเชื่อมั่นกับทุกคนว่ารัฐบาลจะสามารถอยู่จนครบเทอมได้
ส่วนของ นายทักษิณ ที่เพิ่งไปร่วมเวที Forbes มาเพียงหนึ่งวัน ก่อนศาลพิจารณาก็บอกว่า แค่รอรับฟังคำตัดสิน เพราะต้องมองไปข้างหน้า ไม่สามารถย้อนกลับไปในอดีต ซึ่งก็เป็นคำสะท้อนว่าไม่ได้กังวลเรื่องนี้แต่อย่างใด
แต่ในส่วนที่ต้องรู้สึกกระวนกระวายอยู่บ้าง ก็น่าจะเป็นฝากฝั่งของบรรดาพวกขั้วตรงข้ามทางการเมือง ที่ก่อนหน้านี้หวังจะใช้นิติสงครามในการไล่ถอดถอนนายกรัฐมนตรี ดั่งเช่นที่ทำสำเร็จมาแล้วกับกรณีของนายเศรษฐา ทวีสิน ที่คอยจะหาช่องเอาผิด เพื่อหวังให้มีการเปลี่ยนนายกรัฐมนตรีแบบส้มหล่นอยุ่เรื่อยๆ และปฎิเสธไม่ได้ว่าคนกลุ่มนี้ยังเป็นขั้วอำนาจเก่าที่รอวันได้อำนาจคืนมาอีกครั้ง โดยไม่สนเสียงของประชาชนที่ได้มีการเลือกตั้งมาแล้ว
สำหรับการเมืองที่มีแกนนำอย่างเพื่อไทยเป็นคนจัดตั้งรัฐบาล แม้ว่าจะรอดตัวจะนิติสงครามรอบนี้ไปได้ การันตีว่าเพื่อไทยไม่มีความผิดที่จะรับคำร้องไว้พิจารณา ก็เสมือนว่าพรรคเพื่อไทยได้ติดปีกอีกครั้งในทางการเมือง ไม่มีหนามมาคอยทิ่มแทงให้ปวดหัว แต่อย่างไรก็ตาม แม้ว่าเพื่อไทยจะรวมเสียงได้มากเกินกึ่งหนัก แต่ก็นับว่าไม่ใช้คุมได้แบบสะเด็ดน้ำ เพราะประกอบไปด้วยพรรคร่วมอีกจำนวนหนึ่งที่เคยเป็นขั้วตรงข้าม ก็อาจจะต้องประคับประคองอำนาจให้อยู่ยาวจนครบเทอม
ขณะเดียวกันแม้ศาลรัฐธรรมนูญไม่รับวินิจฉัยคดีนายทักษิณแล้วก็จริง แต่ยังมีกรณีการยื่นคำร้องต่อ คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ขอให้ยุบพรรคเพื่อไทย และอีก 5 พรรคร่วมรัฐบาลเดิม เนื่องจากยินยอมให้ นายทักษิณ เข้าครอบงำ ชี้นำพรรค และ ยังมีคดีความผิดเกี่ยวกับ มาตรา 112 ที่อยู่ศาลอาญาอีก จึงทำให้ต้องติดตามกันต่อว่า จะเป็นอย่างไรกับเส้นทางที่เหลือต่อไป.