ยิ่งซื้อ..ยิ่งเจ๊ง
เสียงสะท้อนที่กลับมาหา “โมนิก้า” ในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา ทำให้รู้ว่า นักลงทุนรายย่อยกำลังปวดหัวอย่างหนัก เพราะการเข้าลงทุนในแต่ละครั้ง มันทำให้เงินในกระเป๋าแฟบลงเรื่อย ๆ
เสียงสะท้อนที่กลับมาหา “โมนิก้า” ในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมาทำให้รู้ว่า นักลงทุนรายย่อยกำลังปวดหัวอย่างหนัก เพราะการเข้าลงทุนในแต่ละครั้ง มันทำให้เงินในกระเป๋าแฟบลงเรื่อย ๆ จนเริ่มไม่มั่นใจว่า ดัชนีจะกลับขึ้นไปยืนเหนือแนวต้าน 1,500 จุดได้ในเร็ววัน เพราะทุกครั้งที่ดัชนีวิ่งขึ้นไปใกล้แนวต้านดังกล่าวทีไร ก็มีแรงขายออกมาเป็นจำนวนมากทุกที ส่งผลให้บรรยากาศลงทุนดูอึมครึมสุด ๆ พะย่ะค่ะ
โดยสิ่งที่เห็นได้ชัดก็คือแรงขายที่ไหลออกมาบริเวณ 1,487 จุด กับบริเวณ 1,470 จุด จนทำให้จุดสูงสุดของการรีบาวด์แต่ละรอบต่ำลงเรื่อย ๆ แบบนี้ “โมนิก้า” มองเป็นตัวแปรที่ทำให้อีฉันเลือกใช้วิธีถอยดูฉากมากกว่าโหนกระแส เพราะสถานการณ์มันดูมั่วซั่วไปหมดทุกอย่าง แถมมีเรื่องร้อนมาพัวพันเป็นช่วง ๆ ส่งผลให้หุ้นส่วนใหญ่ของตลาดหุ้นไทยเป๋ไม่เป็นขบวนเลยเจ้าค่ะ
งานนี้ใครจะว่าอย่างไร? เดี๊ยนก็น้อมรับความเห็นต่างแบบเต็มใจ เพราะสิ่งที่เดี๊ยนใช้เป็นแนวทางวิจารณ์แต่ละครั้ง มักให้ความสำคัญกับ “ผลประกอบการ” เป็นที่ตั้งหลัก ส่วนเรื่อง “การเมือง” เป็นตัวแปรรอง และตรงนี้เองที่ทำให้เดี๊ยนมองการแกว่งตัวไปมาของดัชนี ก่อนจะยืนปิดที่ระดับ 1,446.30 จุด บวกไป 5.84 จุด ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 4.56 หมื่นล้านบาท คือภาพสะท้อนตลาดหุ้นไทยยังอ่อนไหว เพราะขาดภูมิคุ้มกันเรื่องผลประกอบการไงล่ะคะ
ลองคิดเล่น ๆ ดูก็ได้ ถ้าผลประกอบการแข็งแกร่งจริง นักลงทุนรายย่อยน่าจะแห่เข้ามาในตลาดหุ้นมากขึ้น และแรงซื้อคงกระจายไปยังหุ้นทุกกลุ่ม แต่ตอนนี้แรงซื้อดันกระจุกตัวอยู่ที่หุ้นใหญ่ ส่งผลให้การเคลื่อนตัวของดัชนีขึ้นอยู่กับท่าทีของ “ต่างชาติ” และ “กองทุน” จะเดินไปทางไหนแบบนี้ “โมนิก้า” มองเป็นเรื่องที่เข้าใจยากพอสมควรว่า ตลาดหุ้นไทยจะเดินไปทางไหนกันแน่นะจ๊ะ
สำหรับรายที่เข้าใจได้เต็ม ๆ คงต้องเอ่ยถึงพี่เทพ PTTEP หลังราคาหุ้นวิ่งขึ้นมาเรื่อย ๆ พร้อมกับยืนปิดที่ระดับ 131 บาท บวกไป 3.50 บาท หรือขึ้นไป 2.75% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 2.05 พันล้านบาท ก็เป็นการวิ่งขึ้นตามราคาน้ำมันดิบที่ปรับตัวขึ้นอีกครั้ง และเมื่อย้อนกลับไปดูเมื่อ 8 วันก่อนราคาน้ำมันดิบอยู่ที่ 70 เหรียญต่อบาร์เรล มาวันนี้ราคาน้ำมันดิบอยู่บริเวณ 75 เหรียญต่อบาร์เรล หุ้นเลยต้องขึ้นเจ้าค่ะ
ส่วนรายที่ต้องคิดมากนิดหนึ่ง “โมนิก้า” ขอมองไปที่หุ้น BTS เพื่อชี้ให้เห็นแนวต้านอาถรรพ์ที่อยู่บริเวณ 5 บาท มันมีอยู่จริง ๆ ซึ่งอีฉันก็ไม่ทราบเหมือนกันว่า ทำไมถึงเป็นอย่างนั้น! เพราะสิ่งที่รับรู้มาเป็นระยะก็คือ กทม.มีภาระในการชำระหนี้ให้กับบริษัท 1.40 หมื่นล้าน ซึ่งเป็นข่าวดีในแง่ของกำไรพิเศษ เดี๊ยนจึงต้องถามนักลงทุนว่า การยืนปิดที่ระดับ 4.98 บาท บวกไป 0.12 บาท หรือขึ้นไป 2.50% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 964 ล้านบาท มันน้อยไปอ๊ะป่าว?
เช่นเดียวกับในรายของ AMATA ก็วิ่งไม่ผ่านแนวต้าน 30 บาทเสียที แต่เที่ยวนี้สามารถยืนปิดที่ระดับ 30.50 บาท บวกไป 1.50 บาท หรือขึ้นไป 5.15% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 361 ล้านบาท โดยที่หุ้นเทรดบน PE 15 เท่าแบบนี้ “โมนิก้า” มองเป็นช็อตที่ดีต่อใจมาก ๆ สำหรับสายลุย เพราะเชื่อว่า ราคาหุ้นน่าจะต้องไปต่อแบบสวย ๆ ผนวกกับปัจจัยพื้นฐานก็เอื้อให้เล่นกันอีกยก เดี๊ยนเลยไม่มีอะไรต้องกังวลใจเจ้าค่ะ
ส่วนหุ้นนอกกระแสที่เริ่มมีแรงซื้อกลับเข้ามาต่อเนื่องอย่าง RBF ก็เป็นอะไรที่น่าสนใจมาก ๆ ในแง่ของการไหลตามน้ำ ผนวกกับไตรมาส 4 เป็นช่วงไฮซีซั่นของธุรกิจต่าง ๆ “โมนิก้า” จึงอยากให้นักลงทุนประเมินว่า การยืนปิดที่ระดับ 6.05 บาท บวกไป 0.35 บาท หรือขึ้นไป 6.15% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 73 ล้านบาท น่าสนใจขนาดไหนในแง่ของการเทรดบน PE 21 เท่านะออเจ้า
ตบท้ายกันที่หุ้นสุดติ่งกระดิ่งแมวอย่าง PLANET เพื่อชี้ให้เห็นการขึ้นก่อนหน้านี้ไม่ธรรมดาจริง ๆ และเหตุผลเดียวที่ทำให้ราคาหุ้นวิ่งแรงคือ การเพิ่มทุนให้กับผู้ถือหุ้นเดิมในราคา 2 บาท ซึ่งเป็นการเปิดช่องให้ขาลุยกระโจนใส่เป็นพัลวัน เพราะมองว่า คนจะใช้สิทธิ์ซื้อหุ้นเพิ่มทุนเต็มจำนวน 193 ล้านหุ้นต่อเมื่อราคาหุ้นอยู่สูงกว่า 2 บาท เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาจึงเห็นหุ้นยืนปิดที่ 1.91 บาท บวกไป 0.18 บาท หรือขึ้นไป 10.40% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 89 ล้านบาทไงล่ะคะ
โมนิก้า: และทีมงาน