จับตา DSI รับ “คดีหมอบุญ” เป็นคดีพิเศษ – ตร.คุม “อดีตเมีย-ลูกสาว” ฝากขังศาลค้านประกันตัว
พนักงานสอบสวน คุมตัว อดีตภรรยาและลูกสาวของ “หมอบุญ” ไปฝากขังต่อศาลอาญาในเช้าวันนี้ คดีฉ้อโกง 7.5 พันล้านบาท
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ช่วงเช้าวันนี้ (25 พ.ย.67) ที่สน.พญาไท พนักงานสอบสวน สน.ห้วยขวาง เดินทางมารับ นางจารุวรรณ วนาสิน อายุ 79 ปี และ น.ส.นลิน วนาสิน อายุ 51 ปี อดีตภรรยาและลูกสาวของ นพ.บุญ วนาสิน หรือ หมอบุญ อายุ 86 ปี อดีตประธานกรรมการ บริษัท ธนบุรี เฮลท์แคร์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ THG หลังทั้งสองคนได้เข้ามอบตัวเมื่อวันที่ 23 พ.ย.ที่ผ่านมา ในคดีที่ตกเป็นผู้ต้องหาร่วมกันฉ้อโกงประชาชน และร่วมกันให้กู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน
หลังถูกกล่าวหาว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับกรณี “หมอบุญ” ชักชวนให้ผู้เสียหายลงทุนเกี่ยวกับธุรกิจทางการแพทย์ 5 โครงการใหญ่ มีผู้เสียหาย 247 ราย รวมมูลค่าความเสียหายกว่า 7,500 ล้านบาท โดยพนักงานสอบสวนจะนำตัวบุคคลทั้ง 2 ไปขออำนาจศาลอาญาฝากขัง เป็นครั้งแรก โดยท้ายคำร้องพนักงานสอบสวนได้คัดค้านการประกันตัว
ขณะเดียวกัน มีรายงานว่า พนักงานสอบสวนเตรียมเสนอเรื่องให้ กรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ ดีเอสไอ (DSI) พิจารณารับดำเนินการคดีนี้เป็นคดีพิเศษ
ก่อนหน้านี้ทนายความของนางจารุวรรณ และ น.ส.นลิน ให้สัมภาษณ์ว่า ทั้งนางจารุวรรณ และ น.ส.นลิน ยืนยันว่า ถูกปลอมแปลงลายเซ็น โดยไม่ทราบว่าผู้ใดเป็นคนทำ แต่ปลอมแล้วนำเอกสารดังกล่าวไปใช้กู้ยืมเงินตามที่ปรากฏเป็นข่าว
ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า เวลา 07:30 น. วันนี้ นายพัน คนขับรถของนางจารุวรรณและลูกสาวของหมอบุญ ได้นำอาหารและน้ำดื่ม มาเยี่ยมผู้ต้องหาทั้งสองคน โดยตำรวจแนะนำให้รีบเยี่ยมและพูดคุยกันใช้เวลาไม่เกิน 5 นาที จากนั้นตำรวจให้นายพัน หลบออกทางประตูด้านหลังสน.
ขณะที่ก่อนหน้านี้ พล.ต.ต.อัฏธพร วงศ์ศิริปรีดา ผู้บังคับการตำรวจนครบาล 1 (ผบก.น.1) กล่าวว่า เบื้องต้นจากที่พนักงานสอบสวน ได้สอบปากคำ ทั้งคู่ให้การภาคเสธ ยืนยันแค่ว่าถูกปลอมแปลงลายเซ็นเท่านั้น แต่รายละเอียดไม่สามารถเปิดเผยได้เพราะอยู่ในสำนวนการสอบสวน ยืนยันแค่ว่าได้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ เตรียมขยายผลไปยังผู้ร่วมขบวนการรายอื่น ๆ
ผบก.น.1 กล่าวอีกว่า คดีนี้มีผู้เสียหายจำนวนมากเฉพาะ ในพื้นที่ บก.น.1 มีมากกว่า 247 คน ความเสียหายกว่า 7,600 ล้านบาท ยังไม่นับรวมพื้นที่อื่นๆและในต่างจังหวัด จากนี้จะประชุมหารือร่วมกับผู้บังคับบัญชาว่าจะมีแนวทางรับแจ้งความผู้เสียหายอย่างไร เพราะมีผู้เสียหายจากต่างจังหวัดทยอยแจ้งความอย่างต่อเนื่อง ซึ่งทางตำรวจนครบาลจะรับเรื่องไว้เบื้องต้นก่อน
ส่วน นพ.บุญ ที่อดีตภรรยาและลูกให้ข้อมูลว่าอยู่ที่ประเทศจีนนั้น พนักงานสอบสวนยื่นเรื่องไปที่กองการต่างประเทศ ขอให้ตำรวจสากลออกหมายแดง โดยจะเร่งดำเนินการให้เร็วที่สุด ทั้งนี้ไทยและจีน มีสนธิสัญญาส่งผู้ร้ายข้ามแดน แต่เป็นคดีอุกฉกรรจ์ ส่วนคดีเกี่ยวกับการฉ้อโกง ต้องทำหนังสือชี้แจงขอความร่วมมือ
พล.ต.ต.อัฏธพร กล่าวด้วยว่า นอกจากนี้ชุดทำงานอยู่ระหว่างพิสูจน์ทราบว่ามีการปลอมแปลงลายเซ็นจากผู้อื่นจริงหรือไม่ หากมีการปลอมแปลงจริงเป็นไปได้ว่า อาจจะมีผู้ก่อเหตุเกี่ยวข้องเพิ่ม รวมถึงตรวจโบรกเกอร์ที่ชักชวนผู้เสียหายให้มาร่วมลงทุนหรือกู้เงิน ส่วนลูกสะใภ้นายแพทย์บุญจะถูกออกหมายจับด้วยหรือไม่ อยู่ระหว่างรวบรวมพยานหลักฐาน แต่ขณะนี้ยังไม่มีผู้ต้องหาเพิ่มเติม
อีกประเด็นคณะพนักงานสอบสวน จะไปสอบปากคำเจ้าหน้าที่ผู้เกี่ยวข้อง คือ บริษัทศูนย์รับฝากหลักทรัพย์ (ประเทศไทย) จำกัด หรือ TSD ในวันที่ 25 พ.ย.นี้ เพื่อตรวจสอบการรับจำนำหุ้นจริงหรือไม่ รวมทั้งตรวจสอบการธุรกรรมทางการเงินว่า มีการปลอมแปลงลายมือผู้เสียหายหรือไม่ โดยผู้ที่ตกเป็นเหยื่อ “เช็คเด้ง” หรือเป็นผู้ค้ำประกัน และผู้เสียหายที่ถูกหลอกให้ร่วมลงทุน สามารถแจ้งความได้ที่สถานีตำรวจในพื้นที่โดยไม่ต้องกังวลว่าคดีดังกล่าวจะเป็นคดีแพ่ง เพราะจากการตรวจสอบพยานหลักฐาน พบว่า ผู้ต้องหามีพฤติการณ์ประสงค์ต่อทรัพย์ ถือว่าเข้าข่ายความผิดข้อหาฉ้อโกงประชาชน เป็นคดีอาญาที่สามารถดำเนินคดีได้