พาราสาวะถี
โล่งอกสบายใจทั้ง ทักษิณ-แพทองธาร ชินวัตร รวมไปถึงรัฐบาลและพรรคเพื่อไทย หลังศาลรัฐธรรมนูญมีมติยกคำร้องที่อดีตทนายความของพุทธะอิสระไปยื่นให้เอาผิดข้อหาล้มล้างการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
โล่งอกสบายใจทั้ง ทักษิณ-แพทองธาร ชินวัตร รวมไปถึงรัฐบาลและพรรคเพื่อไทย หลังศาลรัฐธรรมนูญมีมติยกคำร้องที่อดีตทนายความของพุทธะอิสระไปยื่นให้เอาผิดข้อหาล้มล้างการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข แม้ว่าจาก 6 ประเด็น จะมีประเด็นที่ 2 กรณีกล่าวหาว่าทักษิณครอบงำสั่งการให้รัฐบาลเอื้อประโยชน์กับสมเด็จฮุน เซน อดีตนายกฯ กัมพูชาในพื้นที่อ้างสิทธิที่เป็นปัญหาจะเป็นมติเสียงส่วนใหญ่ 7 ต่อ 2 ไม่ใช่มติเอกฉันท์ ไม่มีนัยหรือความหมายอะไร
บทสรุปก็คือ ศาลรัฐธรรมนูญยกคำร้องด้วยเหตุผลที่ว่า ข้อกล่าวหาของผู้ร้องยังไม่มีน้ำหนักพยานหลักฐานเพียงพอที่จะแสดงให้เห็นว่า การกระทำของผู้ถูกร้องทั้งสองน่าจะทำให้เกิดผลเป็นการใช้สิทธิหรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 49 วรรคหนึ่ง หลังจากนี้เพื่อไทยก็จะเล่นบทเอาคืนด้วยการฟ้องกลับ ธีรยุทธ สุวรรณเกษร ผู้ร้องด้วยข้อหาร้องเท็จ เรื่องนี้ไม่ใช่การแก้แค้น แต่เป็นการสั่งสอนนักร้องให้เข็ดหลาบ เพราะข้อกล่าวหาที่ไปดำเนินการนั้นมันร้ายแรงถึงขั้นยุบพรรคและตัดสิทธิทางการเมืองกันเลยทีเดียว
ส่วนกรณีเดียวกันที่มีการร้องผ่าน กกต. ทั้งนักร้องนิรนามและผู้ที่เปิดเผยตัวตน แม้ว่า แสวง บุญมี เลขาธิการ กกต.จะย้ำว่าเดินหน้าต่อ เพราะใช้กฎหมายคนละฉบับกับที่ศาลรัฐธรรมนูญได้ชี้ขาดไป คงเป็นเพียงแค่แอ็กชันที่จะต้องขึงขัง ในเมื่อคำร้องเป็นไปในลักษณะเดียวกัน ข้อกล่าวหาเหมือนกัน ยิ่งหากไม่มีหลักฐานเด็ด พยานสำคัญมามัดจนดิ้นไม่หลุด ก็ไม่รู้ว่าจะไปหามุมไหนมาเล่นงานทักษิณ เพื่อไทยและพรรคร่วมรัฐบาล ฟันธงไว้ล่วงหน้า ปลายทางจะจบแบบเดียวกับศาลรัฐธรรมนูญ
อย่างที่บอกสถานการณ์หลังจากที่ศาลรัฐธรรมนูญชี้ขาด การไม่รับคำร้องย่อมส่งผลดีต่อรัฐบาล ทำให้มีสมาธิในการทำงาน ภาพของเสถียรภาพจะชัดเจนขึ้นโดยเฉพาะกับสายตาจากนานาประเทศ ไม่อาจยืนยันได้ว่านี่เป็นเครื่องพิสูจน์ว่ารัฐบาลพลิกขั้วมีแบ็คอัพพลังวิเศษ หรือได้คาถาดีเป็นเกราะป้องกันชั้นยอด แต่อย่างน้อยก็แสดงให้เห็นแล้วว่า การที่จะใช้นิติสงครามเล่นงานกันทางการเมืองมันไม่ได้ง่ายเหมือนที่เคยทำมาในยุคเผด็จการครองเมือง
เรื่องความมั่นคงของชาติ ที่แท้จริงคือความอยู่รอดและอยู่ยาวของรัฐบาลเผด็จการก่อนหน้านั้น ไม่ได้มีความจำเป็นใด ๆ ภายใต้สภาพปัญหาของบ้านเมืองที่คนส่วนใหญ่กำลังเผชิญอยู่ในเวลานี้ นิติสงครามที่ถูกสร้างขึ้นจากกลไกของเผด็จการสืบทอดอำนาจ มีไว้เป็นไม้กันหมาให้กับพวกอยู่ยาวเท่านั้น และอาจยืนยันได้ว่า จำเป็นต้องใช้เพื่อสยบความห้าวหาญฮึกเหิมของฝ่ายที่สุดโต่ง แต่กับรัฐบาลที่เกิดขึ้นเพื่อเป้าหมายปกป้องโครงสร้างสำคัญไม่ให้ถูกรื้อ จำเป็นต้องได้รับการคุ้มครองให้ดีที่สุด
บทสรุปแบบนี้อาจทำให้เข้าใจเหตุผลว่า ทำไมทักษิณถึงมีความมั่นคงมั่นใจ ออกมาเคลื่อนไหวทางการเมืองในช่วงนี้ ไม่ใช่แค่บทบาทผ่านการเลือกนายก อบจ.ในฐานะผู้ช่วยหาเสียง แต่เป็นการฉายภาพไปถึงทิศทางการทำงานของรัฐบาลแพทองธารด้วย หลังจากนี้คงจะได้เห็นการขับเคลื่อนนโยบายในการแก้ปัญหาทางเศรษฐกิจแบบเห็นภาพชัดเจน และมีแนวทางปฏิบัติที่เป็นรูปธรรม ไทม์ไลน์ต่าง ๆ น่าจะถูกประกาศเพื่อให้ประชาชนและนักลงทุนเกิดความมั่นใจ
อย่างไรก็ตาม ในการตีตกคำร้องครั้งนี้เรื่องที่มี 2 เสียงของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญชี้ว่าประเด็นที่สองกรณีเอื้อประโยชน์ให้ฮุน เซน ในพื้นที่อ้างสิทธินั้น อาจชี้ให้เห็นถึงความคิดของพวกอนุรักษนิยมสุดโต่ง เพราะเรื่องดังกล่าวหากพิจารณาจากข้อเท็จจริงแล้ว เอ็มโอยู 44 ที่เกิดขึ้น ยังไม่ได้เกิดการเจรจาใด ๆ ฝ่ายไทยยังไม่ตั้งคณะกรรมการด้านเทคนิค หรือ JTC เพื่อเจรจาตามที่ฝ่ายกัมพูชาเร่งรัดมา นั่นหมายความว่า ยังไม่มีอะไรเกิดขึ้น เช่นเดียวกับปมเกาะกูดที่ถูกลากไปเกี่ยวข้องทั้งที่เป็นของไทยอยู่แล้ว
ประเด็นนี้ ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ที่ปรึกษานายกฯ ให้ความเห็นไว้อย่างน่าสนใจ โดยระบุว่าตนและเชื่อว่าคนอีกจำนวนมาก ไม่คิดว่าเรื่องนี้จะนำไปสู่การล้มล้างการปกครอง ไม่เสียดินแดนเกาะกูด ไม่ขายชาติ และที่สำคัญคือ รัฐบาลปัจจุบันของทั้ง 2 ประเทศยังไม่ได้คุยอะไรกันเลยจนขณะนี้ แต่มีตุลาการคิดอีกแบบ พร้อมบอกว่า เมื่อต้นสัปดาห์ตนนั่งคุยในวงพี่ ๆ น้อง ๆ มีคนเล่าให้ฟังว่า เจอผู้พิพากษาคนหนึ่งพูดอย่างจริงจังว่าห่วงจะเสียดินแดน อีกคนบอกเจอหมอ หมอก็ว่าห่วงเรื่องนี้เหมือนกัน
เป็นภาพสะท้อนว่า ความเคลื่อนไหวของกลุ่มขวาสุด เลือกจับวาระชาตินิยม ปกป้องดินแดน เพราะรู้ว่าเรื่องนี้กระทบหัวใจทั้งประชาชนทั่วไป และคนที่มีสถานะเข้มแข็งในสังคม ที่ผ่านมาตั้งแต่ยุคไทยรักไทย รัฐบาลเจอกับพลังขวาสุดด้วยข้อกล่าวหาเรื่องค่านิยมหลัก ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ เช่น ปฏิญญาฟินแลนด์ ทำบุญวัดพระแก้ว เขาพระวิหาร ผังล้มเจ้า ฯลฯ จนเกิดความเคลื่อนไหวมวลชน เปิดทางให้อำนาจนอกระบบเข้ามายึดอำนาจ นี่เป็นข้อยืนยันว่าความขัดแย้งทางการเมืองไทยยังคงวนรอบเรื่องเดิม ๆ
ทั้งหมดที่เสี่ยเต้นยกตัวอย่างมานั้น ในที่สุดก็ได้รับการพิสูจน์แล้วผ่านกระบวนการยุติธรรมว่าเป็นเรื่องเท็จ แต่คนที่กล่าวหาก็ไม่ได้แสดงความรับผิดชอบใด ๆ บางรายยังได้ดิบได้ดีในยุคเผด็จการครองเมืองอีกต่างหาก นี่คือความสามานย์ของพวกอนุรักษนิยมสุดโต่ง หนนี้มุกเดิมคงขุดขึ้นมาใช้ไม่ได้ผล ปลุกระดมไม่ได้อีกต่อไป มีเพียงพวกกองเชียร์ไม่ลืมหูลืมตาเท่านั้นที่จะเชื่อและร่วมขบวนการ วันนี้นายกฯ หญิงย้ำชัด ไม่ว่าใครที่ออกมาเคลื่อนไหว เรียกร้อง พร้อมที่จะคุยด้วยแต่ต้องมีเหตุผล มีน้ำหนักมากพอ ไม่ใช่ใช้ความรู้สึก ความคิดเห็นส่วนตัวแล้วเที่ยวกล่าวหา ให้ร้ายคนหรือคณะบุคคลไปทั่ว
ปมเอ็มโอยู 44 พื้นที่อ้างสิทธิของสองประเทศนั้น ความสำคัญอยู่ที่ทรัพยากรปิโตรเลียมมูลค่ากว่า 10 ล้านล้านบาทที่ยังไม่ถูกนำมาใช้ หากไม่เดินหน้าเจรจาหรือยกเลิกเอ็มโอยูฝ่ายเดียวเหมือนที่พวกสุดโต่งเรียกร้อง ถามว่าประเทศได้ประโยชน์หรือเสียหายมหาศาล การเจรจาไม่ใช่ว่าตกลงแล้วรัฐบาลจะเดินหน้าได้ทันที ต้องเป็นไปด้วยความรอบคอบ รัดกุม โปร่งใส สร้างความเข้าใจกับสังคมทุกระยะ สุดท้ายก็ต้องจบด้วยความเห็นชอบของสภา เชื่อว่าเวลานี้คนส่วนใหญ่เข้าใจดีแล้ว ส่วนพวกที่เข้าใจแล้วแต่แกล้งโง่คงต้องปล่อยให้อยู่กันแบบนั้นต่อไป
อรชุน