GPSC มั่นใจ Q4 ธุรกิจพลังงานฟื้น ปักหมุดผลิตแบตเตอรี่ EV เฟส 2 ปี 68
GPSC มั่นใจไตรมาส 4/67 ธุรกิจพลังงานฟื้น รับต้นทุนพลังงานทรงตัว พร้อมเล็งกลับมาเปิดโรงไฟฟ้าพลังงานน้ำ สปป.ลาว หนุนผลงานเติบโตดีขึ้น พร้อมกางแผนเดินเครื่องผลิตแบตเตอรี่ EV เฟส 2 ปี 68 ย้ำปัจจุบันมีเงินทุนมากพอในการใช้ลงทุนต่างๆ
นางสาวสุกิตตี ไชยรักษ์ ผู้จัดการฝ่ายอาวุโสการเงินองค์กรและนักลงทุนสัมพันธ์ บริษัท โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) หรือ GPSC เปิดเผยข้อมูลภาพรวมธุรกิจของบริษัทผ่านงาน Opportunity Day จัดโดย ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เมื่อวันที่ 25 พฤจิกายน 2567 ว่าผลการดำเนินงานไตรมาส 3/2567 บริษัทมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 770.70 ล้านบาท ลดลง 56.97% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 1,789.51 ล้านบาท โดยเป็นผลมาจากโรงไฟฟ้าขนาดเล็ก (SPP) มีต้นทุนของก๊าซธรรมชาติเพิ่มขึ้นและปริมาณการขายของ กฟผ. ลดลงแต่ปริมาณความต้องการไฟฟ้าของลูกค้าอุตสาหกรรมโดยรวมยังคงอยู่ในระดับที่สูงขึ้นประกอบกับโรงไฟฟ้าผู้ผลิตอิสระ (IPP) ได้แก่ โรงไฟฟ้าโกลว์ ไอพีพีหยุดซ่อมบำรุงตามแผนจำนวน 13 วันในไตรมาสที่ 3 ปี 2567
รวมถึงในไตรมาส 3 การเรียกรับไฟฟ้าจาก กฟผ. ลดลง โรงไฟฟ้าห้วยเหาะมีรายได้ค่าพลังงานไฟฟ้า (EP) ลดลงจากปริมาณการผลิตไฟฟ้าที่ลดลงตามการเรียกรับไฟฟ้าที่ลดลงของ กฟผ. สำหรับไตรมาสนี้เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้าซึ่งเป็นช่วงฤดูร้อน แต่ปริมาณการผลิตไฟฟ้าทั้งปียังคงเป็นไปตามแผน พร้อมทั้งมีผลขาดทุนอัตราแลกเปลี่ยนที่ยังไม่เกิดขึ้นจริงจากค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐฯ
ทั้งนี้ ทิศทางในอนาคตบริษัทจะใช้กลยุทธ์ คือ S1 Strengthen & Expand the Core โดยที่บริษัทนำเทคโนโลยีมาใช้ในการรองรับการผลิต พร้อมทั้งดำเนินการศึกษาปรับปรุงคุณภาพโซล่า ในพื้นที่ นิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด เพื่อรองรับลูกค้าได้มากขึ้น อนึ่งที่ผ่านมาบริษัทมีลูกค้าที่มีความต้องการใช้พลังงานเพิ่มขึ้น ยกตัวอย่าง Aditya Birla ที่มีความต้องการใช้พลังงานจากไอน้ำเพิ่มขึ้น 140,000 ตัน/ปี และลูกค้าอีก 1 ราย มีความต้องการใช้พลังงานไฟฟ้าเพิ่มขึ้นประมาณ 25 เมกะวัตต์
ส่วนกลยุทธ์ที่ S2 Scale – Up Green Energy เป็นการเดินหน้าเติบโตในธุรกิจพลังงานสะอาด ซึ่งที่ผ่านมาบริษัทได้เข้าไปถือหุ้น บริษัท โกลบอล รีนิวเอเบิล เพาเวอร์ จำกัด (GRP) ซึ่งประกอบธุรกิจลงทุนในโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ทั้งในและต่างประเทศ โดยในประเทศสนับสนุนกำลังการผลิตพลังงานเพิ่มขึ้นเป็น 44 เมกะวัตต์ หลักๆ จะเป็นการลงทุนธุรกิจโซลาร์ฟาร์ม ขณะที่ในต่างประเทศ อาทิ ไต้หวัน มีกำลังการผลิตอยู่ที่ 50.2 เมกะวัตต์
นอกจากนี้ บริษัทมีการเติบโตในโซลาร์ฟาร์มอย่างก้าวกระโดดในประเทศอิเดีย ซึ่งมีการวางแผนเพิ่มกำลังการผลิตไปอยู่ที่ 30 กิกะวัตต์ (GW) ภายในปี 30 ส่วนธุรกิจพลังงานลมในไต้หวัน ได้รับในอนุญาตในการจำหน่ายพลังงานไฟฟ้า COD ทั้ง 62 ต้น รวม 592 เมกะวัตต์ ในวันที่ 20 กันยายน 67 ที่ผ่านมา และมีแผนจ่ายไว้ครบในปีนี้ ส่วนแผนประมูลงานโครงการภาครัฐอยู่ระหว่างเตรียมตัว หากมีความชัดเจนจะแจ้งให้ทราบในลำดับถัดไป
ขณะที่ แผนประมูลงานโครงการกับภาครัฐบริษัทยังคงอยู่ระหว่างเตรียมโครงการและเตรียมข้อมูลเพื่อที่นำเสนอ พร้อมทั้งการพัฒนาโครงการอย่าง PDP (Power Development Plan) หรือ แผนการพัฒนาพลังงานไฟฟ้าของประเทศที่กำหนดโดยรัฐบาล และ Non-PDP พัฒนาโครงการพลังงานจากเอกชน เพื่อสนับสนุนให้กับลูกค้าที่ต้องการพลังงานสีเขียวหากมีความชัดเจนบริษัทจะแจ้งให้ทราบในลำดับถัดไป
กลยุทธ์ S3 S-Curve & Batteries ส่วนนี้บริษัทยังคงมุ่งเน้นไปที่ธุรกิจแบตเตอรี่เพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงการใช้พลังงานในอนาคต ซึ่งที่ผ่านมาบริษัทได้ร่วมกับพันธมิตรในการพัฒนาทั้ง Hydrogen, Carbon Capture Storage (CCS) และ Nuclear Technology
นอกจากนี้ โรงงาน NV Gotion ซึ่งผลิตและพัฒนา แบตเตอรี่ลิเธียมไอออน (Lithium-ion Batteries) ใช้ในอุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้าและพลังงานสะอาด โดยเฉพาะรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ได้เริ่ม Line ผลิตที่ 1 เมื่อวันที่ 28 ธันวาคม 2566 ทั้งนี้ ณ เดือนกันยายน 67 บริษัทได้ดำเนินการส่งมอบชุดแบตเตอรี่แล้วจำนวน 4,491 ชุด รวม 162 เมกะวัตต์/ชั่วโมง ให้กับลูกค้าและคาดการณ์ว่าจะส่งมอบทั้งหมดอีกจำนวน 9,022 ชุด รวม 325 เมกะวัตต์/ชั่วโมง และ Line ผลิตที่ 2 จะเริ่มผลิตในปี 68
ส่วนทิศทางการดำเนินงานในไตรมาส 4 ปี 2567 ในกลุ่มธุรกิจหลักๆ ของบริษัทฯ อาทิ พลังงานไฟฟ้า-น้ำ คาดการณ์ว่าจะเป็นไปตามทิศทางราคาไฟฟ้าและพลังงาน ซึ่งปัจจุบันอยู่ในทิศทางที่ปรับตัวสม่ำเสมอ ส่วนโรงไฟฟ้าอื่นๆ ยังคงคาดการณ์ว่าปรับตัวดีขึ้นในไตรมาส 4 ปี 2567 เนื่องจากในไตรมาส 3 นับเป็นช่วง Low Season
ขณะที่ หากพูดถึงโครงการ XPCL (Xayaburi Power Company Limited) ซึ่งเป็นโรงไฟฟ้าพลังงานน้ำ ตั้งอยู่ใน สปป.ลาว ไตรมาส 3 ปี 67 มีการหยุดซ่อมบำรุง 17 วัน เนื่องจากปริมาณน้ำที่มากเกินไป ทั้งนี้ คาดการณ์ว่าไตรมาส 4 ปี 2567 กำลังการผลิตจะกลับมาสู่ระดับปกติสนับสนุนให้มีผลการดำเนินงานที่ดีขึ้น
อย่างไรก็ตาม บริษัทยังคงคาดการณ์ว่าจะมีการเติบโตอยู่ในทิศทางที่ดี ประกอบกับปัจจัยที่บริษัทยังคงขยายกลุ่มลูกค้าใหม่ๆ เข้ามาเพิ่มเติม ขณะที่ ราคาต้นทุนก๊าซ อาทิ ก๊าซธรรมชาติ ถ่านหิน ยังคงอยู่ในทิศทางทรงตัวดี นับเป็นปัจจัยสนับสนุนให้ราคาไฟฟ้าใกล้เคียงราคาตลาดและสม่ำเสมอ นอกจากนี้ หากมองไปยังปี 2568 บริษัทยังคงดำเนินธุรกิจไปตามแผนที่ได้มีการลงทุนไว้ ซี่งย้ำว่าบริษัทว่าปัจจุบันมีเงินทุนมากพอในการใช้ลงทุนต่างๆ