KKPS แนะสอย 8 หุ้นเด่นไตรมาส 1/68 รับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ
บล.เกียรตินาคินภัทร คัด 8 หุ้นเด่นน่าลงทุนในไตรมาส 1/68 CPF-GLOBAL-IVL-MINT-PR9-SCB-SPRC-TRUE เน้น “กลุ่มการค้า-โทรคมนาคม-ไฟแนนซ์" รับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ และไม่ได้รับผลกระทบจากการเติบโตในจีนที่ช้าลง
บริษัทหลักทรัพย์ เกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน) หรือ KKPS คาดการณ์ว่าในปี 68 นี้ จะเห็นการต่อสู้กันระหว่างสองปัจจัยคือปัจจัยภายนอกที่ขัดขวางการเติบโตจากสงครามการค้าและปัจจัยภายในที่ส่งเสริมการเติบโตจากนโยบายเศรษฐกิจ โดยฝ่ายวิเคราะห์คาดการณ์ว่าเป้าหมายตลาดหุ้นไทยจะอยู่ที่ 1,460 ซึ่งบ่งบอกถึงการเติบโตที่จำกัดเพียง 1% ณ เวลาที่บทวิเคราะห์ฉบับนี้เผยแพร่ออกไป
โดยสงครามการค้าอาจเป็นปัจจัยลบสำหรับประเทศไทย เนื่องจากเศรษฐกิจพึ่งพาการส่งออก การเพิ่มภาษีศุลกากรจากสหรัฐฯ หรือแม้จากจีนอาจกระทบการส่งออกสินค้าราคาถูกมายังประเทศไทย
สำหรับการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) อาจได้ประโยชน์ในระยะยาว แต่ในขณะนี้ยังน้อยเกินกว่าจะขับเคลื่อนเศรษฐกิจได้ในเร็วๆนี้ ตัวอย่างในปี 2561-2562 เศรษฐกิจไทยได้รับผลกระทบหนัก โดยเห็นการเติบโตที่ช้ากว่าประเทศ EM อื่นๆในเอเชีย และดัชนี SET ลดลงถึง 10%
โดยความไม่แน่นอนทางการเมืองยังคงเป็นปัจจัยฉุด แม้ว่าศาลรัฐธรรมนูญจะยกคำร้องต่อพรรคเพื่อไทย แต่ยังมีคำร้องต่อพรรคการเมืองร่วมรัฐบาลอื่นๆ และตัวนายกเองยังคงรอการพิจารณาอยู่ ถึงแม้คดีความจะเสร็จสิ้นก่อนปีใหม่ แต่นักลงทุนยังอาจมองว่าสภาพแวดล้อมทางกฎหมายในไทยยังเป็นสิ่งที่ท้าทายอยู่
KKPS มองว่าการสนับสนุนด้านนโยบายน่าจะช่วยลดความเสี่ยงทางเศรษฐกิจ ทีมนักเศรษฐศาสตร์ของ KKPS คาดว่าธนาคารแห่งประเทศไทย (BOT) จะลดอัตราดอกเบี้ยสามครั้ง และมาตรการกระตุ้นทางด้านการเงินจะดำเนินต่อไปในปี 2025
โดยฝ่ายวิเคราะห์มองว่าหากดัชนี SET ปรับตัวลดลง รัฐบาลอาจเพิ่มเงินลงทุนในวายุภักษ์ พร้อมทั้งยังระบุว่าการลดอัตราดอกเบี้ยกับการเพิ่มเม็ดเงินลงทุนจากวายุภักษ์นั้นจะเกิดขึ้นในกรณีที่เศรษฐกิจในภาพรวม หรือตลาดไม่ดี
สำหรับความเสี่ยงหลักที่อาจส่งผลบวกคือการปรับลดอัตราดอกเบี้ยจาก BOT มากกว่าที่คาด หรือการยกฟ้องคดีทางการเมือง หรือการเติบโตทางเศรษฐกิจทั่วโลกสูงกว่าคาด ส่วนความเสี่ยงหลักที่อาจส่งผลลบคือความเติบโตของเศรษฐกิจจีนที่ลดลง ศาลตัดสินคดีความทางการเมืองออกมาเป็นปัจจัยลบ และความผิดหวังต่อนโยบายทางการเงิน
ดังนั้น ในไตรมาสแรกปี 2568 ทางฝ่ายวิจัยชอบกลุ่มผู้ได้รับประโยชน์จากมาตรการกระตุ้นทางเศรษฐกิจ และไม่ได้รับผลกระทบจากการเติบโตในจีนที่ช้าลง โดยมองหุ้นที่มี Bottom-up Approach เด่นกว่า Top-Down แนะนำกลุ่มการค้า โทรคมนาคม เกษตรและอาหาร และไฟแนนซ์ สำหรับรายชื่อหุ้นที่แนะนำในไตรมาสแรก ได้แก่ บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ CPF, บริษัท สยามโกลบอลเฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) หรือ GLOBAL, บริษัท อินโดรามา เวนเจอร์ส จำกัด (มหาชน) หรือ IVL, บริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ MINT, บริษัท โรงพยาบาลพระรามเก้า จำกัด (มหาชน) หรือ PR9, บริษัท เอสซีบี เอกซ์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCB, บริษัท สตาร์ ปิโตรเลียม รีไฟน์นิ่ง จำกัด (มหาชน) หรือ SPRC และ บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ TRUE
อย่างไรก็ดี กลยุทธ์การลงทุนในหุ้นไตรมาส 1/68 ทางฝ่ายวิจัยเพิ่มหุ้น บริษัท อินโดรามา เวนเจอร์ส จำกัด (มหาชน) หรือ IVL, บริษัท โรงพยาบาลพระรามเก้า จำกัด (มหาชน) หรือ PR9, บริษัท สตาร์ ปิโตรเลียม รีไฟน์นิ่ง จำกัด (มหาชน) หรือ SPRC และ บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ TRUE ไปในรายชื่อหุ้นที่แนะนำซื้อ
โดยวันนี้เราได้ปรับปรุงรายการหุ้นที่แนะนำเราเพิ่ม IVL, PR9, SPRC และ TRUE เข้าสู่รายชื่อหุ้นที่น่าซื้อ ส่วนธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BBL และบริษัทแลนด์แอนด์เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) หรือ LH คาดการณ์ว่าจะเป็นหุ้นที่มีผลตอบแทนจะต่ำ โดยกลยุทธ์การลงทุนจะเน้นไปที่ปัจจัยเฉพาะของหุ้น
สำหรับมุมมองจากบนลงล่าง (Top-Down Approach) ของทางฝ่ายวิจัยยังคงเป็นกลาง โดยคาดการณ์ว่าดัชนีจะทรงตัวในปี 2025 แม้ว่าฝ่ายวิเคราะห์จะชอบหุ้นที่ได้รับผลประโยชน์จากมาตรการกระตุ้นการคลัง และไม่ชอบหุ้นที่มีการพึ่งพาการเติบโตของจีนสูง
ทั้งนี้ KKPS เพิ่ม IVL เนื่องจากมีผลกระทบจากสหรัฐฯ สูงและการปรับโครงสร้างที่ได้ดำเนินการแล้ว PR9 คาดว่าน่าจะเห็นการเพิ่มส่วนแบ่งตลาดอย่างต่อเนื่อง SPRC มองว่าจะได้รับประโยชน์จากอัตรากำไรรวมตามฤดูกาลที่แข็งแกร่งและส่วนต่างน้ำมันดิบที่ต่ำ ส่วน TRUE คาดว่าจะได้รับกำไรจากต้นทุนที่ดีขึ้นและรายได้ที่แข็งแกร่งจากการควบรวมกิจการในอุตสาหกรรม