IVF เซ็นตั้ง “อันเดอร์ไรท์” เคาะไอพีโอ 3.10 บ. จองซื้อ 29 พ.ย.-3 ธ.ค. เทรด mai 11 ธ.ค.นี้

IVF เซ็นสัญญาแต่งตั้ง บล.คิงส์ฟอร์ด - บล.กรุงไทย เอ็กซ์สปริง - บล.ดาโอ (ประเทศไทย) - บล.บียอนด์ - บล.ลิเบอเรเตอร์ จำกัด - บล. เอเอสแอล จำกัด และ บล. ไอร่า จำกัด นั่ง "อันเดอร์ไรเตอร์" พร้อมประกาศราคาขาย IPO 3.10 บาท/หุ้น จองซื้อวันที่ 29 พ.ย.-3 ธ.ค.นี้ ลุยเทรด mai วันที่ 11 ธ.ค. 67


บริษัท อินสไปร์ ไอวีเอฟ จำกัด (มหาชน) หรือ IVF เตรียมเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนต่อประชาชนเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวนไม่เกิน 130 ล้านหุ้น คิดเป็นสัดส่วนไม่เกิน 29.55% ของจำนวนหุ้นที่ออกและเรียกชำระแล้วทั้งหมด โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อระดมทุนขยายสาขาทั้งในและต่างประเทศ รวมถึงเพิ่มบริการเวชศาสตร์ป้องกันและฟื้นฟู ด้วยโอกาสทางธุรกิจจากเทรนด์อุตสาหกรรมรักษาผู้มีบุตรยากทั่วโลกที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง สอดคล้องกับวิสัยทัศน์ที่จะก้าวสู่การเป็น “ศูนย์รักษาผู้มีบุตรยากด้วยมาตรฐานสากลในระดับแนวหน้าของประเทศและระดับเอเชีย”

พร้อมเปิดให้นักลงทุนจองซื้อหุ้นได้ในระหว่างวันที่ 29 พฤศจิกายนถึงวันที่ 3 ธันวาคม 2567 ในราคา 3.10 บาทต่อหุ้น คิดเป็นมูลค่าเสนอขาย 403 ล้านบาท และคาดว่าจะสามารถเข้าจดทะเบียนซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ mai วันแรก 11 ธันวาคม 2567

ขณะที่ นางสาวเกศิณี กุลดิลก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร IVF เปิดเผยว่า จากรายงานภาพรวมอุตสาหกรรมรักษาผู้มีบุตรยาก (Fertility) โดย Allied Market Research บริษัทวิจัยและให้คำปรึกษาเกี่ยวกับข้อมูลการตลาด ได้ระบุว่า ในปี 2570 ตลาดท่องเที่ยวสำหรับผู้มีบุตรยาก (Fertility Tourism) ทั่วโลกจะมีมูลค่าสูงถึง 33.6 พันล้านเหรียญสหรัฐ

โดยคิดเป็นอัตราการเติบโตเฉลี่ย (CAGR) 14.2% ต่อปี ซึ่งภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกจะเป็นตลาดที่มีมูลค่าสูงที่สุด ราว 5.62 พันล้านเหรียญสหรัฐ หรือคิดเป็นอัตราการเติบโตที่ 14.7% ต่อปี (ปี 2562-2570) ซึ่ง “ประเทศไทย” ถือเป็นจุดหมายปลายทางสำคัญของธุรกิจ Fertility Tourism ในเอเชีย ด้วยปัจจัยหนุนของรัฐบาลที่ผลักดันไทยเป็น Medical Hub รวมถึงศักยภาพการให้บริการทางการแพทย์ และค่ารักษาพยาบาลที่เข้าถึงได้

นางสาวเกศิณี กล่าวเสริมว่า ตลอดการดำเนินธุรกิจศูนย์รักษาผู้มีบุตรยากด้วยมาตรฐานสากล เป็นเวลากว่า 6 ปี เรามีอัตราความสำเร็จ (Success Rate) ย้อนหลัง 3 ปีตั้งแต่ 2564-2566 สูงกว่าค่าเฉลี่ยและสูงสุดถึง 70-76% โดยอาศัยข้อได้เปรียบด้านการให้บริการภายใต้มาตรฐานสากล ทีมแพทย์และนักวิทยาศาสตร์ผู้ชำนาญการ เทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ ตลอดจนลงทุนในเทคโนโลยีที่ทันสมัยเพื่อเพิ่มโอกาสความสำเร็จในการตั้งครรภ์ ทั้ง EmbryoScope plus ตู้เลี้ยงตัวอ่อนที่สามารถติดตามการเจริญเติบโตได้แบบเรียลไทม์

พร้อมประเมินคุณภาพด้วยเอไอ, เทคนิค PGT-A/-SR ด้วยเทคนิค SNP Array จาก illumina สหรัฐอเมริกา ที่ช่วยคัดกรองความผิดปกติทางพันธุกรรมได้อย่างแม่นยำ ฯลฯ เพื่อลดระยะเวลาและเพิ่มความสะดวกสบายให้แก่ผู้ใช้บริการ จนเกิดเป็นการตลาดแบบ Word of Mouth ในกลุ่มผู้ใช้บริการเป็นวงกว้าง และขยายฐานลูกค้าต่างชาติได้มากกว่า 80% อาทิ อินเดีย, จีน, เวียดนาม และออสเตรเลีย

“การนำหุ้นบริษัทฯ เข้าซื้อขายในตลาด IPO จำนวนไม่เกิน 130 ล้านหุ้น คิดเป็นสัดส่วนไม่เกินร้อยละ 29.55 ของจำนวนหุ้นที่ออกและเรียกชำระแล้วทั้งหมด จึงมีวัตถุประสงค์การระดมทุนเพื่อขยายสาขาในประเทศและต่างประเทศ (New Market) รวมถึงการเพิ่มบริการเวชศาสตร์ป้องกันและฟื้นฟู (New Service) ตามแผนการก้าวสู่ตำแหน่ง ‘ศูนย์รักษาผู้มีบุตรยากด้วยมาตรฐานสากลในระดับแนวหน้าของประเทศและระดับเอเชีย’ เพื่อรองรับตลาด Fertility Tourism ในอนาคต ตลอดจนสามารถมอบผลตอบแทนที่มั่นคงและยั่งยืนให้กับพันธมิตรและนักลงทุน” นางสาวเกศิณี กล่าวทิ้งท้าย

ด้าน นายวรชาติ ทวยเจริญ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ฟินเน็กซ์ แอ๊ดไวเซอรี่ จำกัด ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน ได้กล่าวเสริมว่า IVF ถือเป็นหุ้นที่น่าจับตามอง และเลือกลงทุน โดยจัดเป็นหุ้นที่มีศักยภาพเป็น growth stock  ที่มอบผลตอบแทนที่มั่นคงและยั่งยืน จากแผนการขยายโอกาสการเติบโตทางธุรกิจ

รวมถึงตัวเลขผลการดำเนินงานย้อนหลัง 3 ปี (ปี 2564-2566) เท่ากับ 11.24 ล้านบาท 63.31 ล้านบาท และ 121.55 ล้านบาท ตามลำดับ ซึ่งรายได้ส่วนใหญ่มาจากธุรกิจกลุ่มรักษาผู้มีบุตรยาก ขณะที่งวด 9 เดือนของปี 2567 บริษัทฯ สามารถสร้างรายได้จากการให้บริการถึง 83.28 ล้านบาท แบ่งเป็นรายได้จากธุรกิจรักษาผู้มีบุตรยาก 76.61 ล้านบาท (92%) และรายได้จากธุรกิจเวชศาสตร์ฟื้นฟูฯ 6.67 ล้านบาท (8%) ขณะที่อัตราส่วนผลตอบแทนต่อสัดส่วนผู้ถือหุ้น (ROE) และอัตราส่วนผลตอบแทนต่อสัดส่วนของทรัพย์สิน  (ROA) จะอยู่ที่ 35.1% และ 19.9% ตามลำดับ”

บริษัทฯ มีแผนเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนต่อประชาชนเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวนรวมไม่เกิน 130,000,000 หุ้น คิดเป็น 29.55% ของจำนวนที่ออกและเรียกชำระทั้งหมด เพื่อเปิดโอกาสให้นักลงทุนได้ร่วมเป็นเจ้าของเพื่อมุ่งสู่เป้าหมาย ‘ผู้นำศูนย์รักษาผู้มีบุตรยากด้วยมาตรฐานสากลในระดับแนวหน้าของประเทศและระดับเอเชีย’ ร่วมกันในราคาเสนอขายที่ 3.10 บาทต่อหุ้น คิดเป็นมูลค่าเสนอขายรวมไม่เกิน 403 ล้านบาท

โดยราคานี้พิจารณาจากอัตราส่วนราคาหุ้นต่อกำไรสุทธิต่อหุ้นของบริษัทจดทะเบียนที่มีลักษณะการประกอบธุรกิจใกล้เคียงกับการประกอบธุรกิจของบริษัท ประกอบกับภาพรวมอัตราส่วนดังกล่าวของ ตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) และกลุ่มอุตสาหกรรมบริการ (SERVICE) ในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) โดยพร้อมเปิดให้นักลงทุนจองซื้อหุ้นได้ระหว่างวันที่ 29 พฤศจิกายน ตั้งแต่เวลา 8:30 น. จนถึงวันที่ 3 ธันวาคม 2567 เวลา 16:30 น. (หรือเวลาทำการของแต่ละสาขา) ผ่านทางช่องทางการจัดจำหน่ายของผู้จัดการการจัดจำหน่ายหลักทรัพย์และตัวแทนจำหน่ายหลักทรัพย์ที่กำหนด ได้แก่

  • บริษัทหลักทรัพย์ คิงส์ฟอร์ด จำกัด (มหาชน)
  • บริษัทหลักทรัพย์ กรุงไทย เอ็กซ์สปริง จำกัด
  • บริษัทหลักทรัพย์ ดาโอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน)
  • บริษัทหลักทรัพย์ บียอนด์ จำกัด (มหาชน)
  • บริษัทหลักทรัพย์ ลิเบอเรเตอร์ จำกัด
  • บริษัทหลักทรัพย์ เอเอสแอล จำกัด
  • บริษัทหลักทรัพย์ ไอร่า จำกัด (มหาชน)

ผมเชื่อว่า IVF พร้อมก้าวสู่การเป็น ‘ศูนย์รักษาผู้มีบุตรยากด้วยมาตรฐานสากลในระดับแนวหน้าของประเทศและระดับเอเชีย’ ของคนไทยในเวทีโลกอย่างมั่นคงและยั่งยืน ภายใต้แนวคิด ‘Simplicity in Every Step’ ที่ทำให้ทุกฝันเป็นเรื่องง่าย และเป็นไปได้จริง ด้วย 5 จุดแข็งสำคัญ ได้แก่ 1. ทีมผู้เชี่ยวชาญ 2. เทคโนโลยีล้ำสมัย 3. การจัดการคุณภาพระดับสากล 4. การดูแลใส่ใจทุกมิติ และ 5. เครือข่ายพันธมิตรที่แข็งแกร่ง ทั้งนี้ IVF ยังสร้างความโดดเด่นด้วยอัตราความสำเร็จ 76% ซึ่งนับว่าสูงกว่าข้อมูลอัตราความสำเร็จในการตั้งครรภ์เฉลี่ยของประเทศไทย (ที่มา: กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ หรือ สบส.) ทั้งนี้ คาดว่าจะสามารถเข้าจดทะเบียนซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ mai ในกลุ่มอุตสาหกรรมบริการ เป็นวันแรกในเร็ว ๆ นี้” นายวรชาติ กล่าว

ส่วนปัจจัยสนับสนุนการเติบโตของ IVF จะมาจากภายนอก ได้แก่ การเป็นธุรกิจที่มี Barrier of Entry อยู่ในอุตสาหกรรมที่มีโอกาสเติบโต  และนับเป็นธุรกิจที่ภาครัฐให้การสนับสนุน ส่วนปัจจัยภายนอกนั้นมาจาก Success rate เป็นเลิศในการให้บริการ ด้วยอัตราความสำเร็จในการตั้งครรภ์สูงถึง 70-76% Brand Awareness โดยริเริ่มทำการตลาดในต่างประเทศมาตั้งแต่ช่วงปี 2561 สุดท้ายคือ Effectivess ฝ่ายบริหารทำหน้าที่วางแผนกลยุทธ์ และ Support บุคลากรวิชาชีพให้ทำหน้าที่อย่างเต็มที่

นอกจากนี้ นโยบายและเป้าหมายจัดการความยั่งยืน บริษัทมีกลยุทธ์ด้านสังคม คือ การพัฒนาทักษะและความเชี่ยวชาญในความรู้ และสร้างความเข้าใจในองค์กรไปพร้อมกับการสร้างการมีส่วนร่วมกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียของบริษัท ส่งเสริมและสนับสนุนการพัฒนาทักษะและความรู้ของบุคลกรทั้งด้าน วิชาการและจริยธรรม เพื่อให้บริการแก่ลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพและสร้างความพึงพอใจสูงสุด

พร้อมสร้างกระบวนการทำงานและการส่งมอบบริการด้วยความตระหนักเกี่ยวกับความปลอดภัยของทั้งผู้รับบริหาร และผู้ให้บริการการสร้างความสมดุลในการทำงาน สภาพแวดล้อมเพื่อคุณภาพ ชีวิตที่ดี โดยการจัดให้มีสวัสดิการ การจัดฝึกอบรม การเปิดโอกาสให้แสดงความคิดเห็นรวมถึงข้อร้องเรียนต่างๆ ในองค์กร ส่งเสริมการดำเนินธุรกิจโดยมีความรับผิดชอบต่อสังคม (Corporate Social Responsibility : CSR) รวมไปถึงการจัดกิจกรรมช่วยเหลือสังคม

Back to top button