“ดาวโจนส์” ปิดบวกเกือบ 200 จุด หุ้นเทคฯ-ค้าปลีกหนุนตลาด

“ดาวโจนส์” ปิดบวกเกือบ 200 จุด แตะระดับ 44,910.65 จุด สูงสุดเป็นประวัติการณ์ ได้แรงหนุนหุ้นเทคโนโลยี-ค้าปลีก


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ดัชนีดาวโจนส์และดัชนี S&P500 ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดบวกในวันศุกร์ (29 พ.ย.) ที่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ โดยได้แรงหนุนจากหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี อาทิ หุ้นอินวิเดีย (Nvidia) ขณะที่หุ้นกลุ่มค้าปลีกได้รับความสนใจ เนื่องจากฤดูกาลชอปปิงช่วงวันหยุดได้เริ่มต้นขึ้นแล้วในสหรัฐฯ

ทั้งนี้ ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 44,910.65 จุด เพิ่มขึ้น 188.59 จุด หรือ +0.42%, ดัชนี S&P500 ปิดที่ 6,032.38 จุด เพิ่มขึ้น 33.64 จุด หรือ +0.56% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 19,218.17 จุด เพิ่มขึ้น 157.69 จุด หรือ +0.83%

โดยในรอบสัปดาห์นี้ ดัชนีดาวโจนส์บวก 1.39%, ดัชนี S&P500 เพิ่มขึ้น 1.06% และดัชนี Nasdaq ปรับตัวขึ้น 1.13% ส่วนหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีสารสนเทศ (IT) ได้ช่วยหนุนดัชนีดาวโจนส์และ S&P500 และหุ้นกลุ่มอุตสาหกรรมยังช่วยหนุนดัชนีดาวโจนส์ขึ้นด้วย

ด้านหุ้นอินวิเดีย (Nvidia) พุ่งขึ้น 2% ขณะที่หุ้นเทสลา (Tesla) พุ่ง 3.7%

ส่วนบรรดานักลงทุนจับตาการใช้จ่ายของผู้บริโภคในช่วงวันแบล็กฟรายเดย์ (Black Friday) ซึ่งมีการลดราคาสินค้าครั้งใหญ่ โดยอะโดบี อนาไลติกส์ (Adobe Analytics) ประเมินว่า ผู้บริโภคจะใช้จ่ายออนไลน์สูงเป็นประวัติการณ์ที่ 1.08 หมื่นล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 9.9% จากช่วงแบล็กฟรายเดย์ของปีที่แล้ว

โดยหุ้นทาร์เก็ต (Target) พุ่งขึ้น 1.7% และหุ้นเมซีส์ (Macy’s) พุ่ง 1.8% ส่วนหุ้นชิปดีดตัวขึ้นด้วย หลังจากร่วงลงเมื่อวันพุธ โดยดัชนีหุ้นเซมิคอนดักเตอร์ที่ตลาดหุ้นฟิลาเดลเฟียพุ่งขึ้น 1.5% นอกจากนี้หุ้นกลุ่มคริปโทฯ ปรับตัวขึ้นตามการพุ่งขึ้นของบิตคอยน์ โดยหุ้นมารา โฮลดิงส์ (MARA Holdings) พุ่งขึ้น 1.9%

ส่วนหุ้นแอพพลายด์ เธอราพิวติกส์ (Applied Therapeutics) ร่วง 76% หลังจากที่องค์การอาหารและยา (FDA) ของสหรัฐฯ ปฏิเสธการอนุมัติยาของบริษัทสำหรับการรักษาโรคพันธุกรรมเมตาบอลิก (genetic metabolic)

โดยชัยชนะของโดนัลด์ ทรัมป์ ในการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐเมื่อต้นเดือนนี้ และการที่พรรครีพับลิกันของเขาที่ชนะเสียงข้างมากในทั้งสองสภาคองเกรส ได้ช่วยหนุนตลาดหุ้นปรับตัวขึ้น ขณะที่นักลงทุนกำลังประเมินความคาดหวังว่า นโยบายสนับสนุนธุรกิจของทรัมป์อาจกระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจและผลกำไรของบริษัท

อย่างไรก็ตาม ยังคงมีความกังวลว่านโยบายดังกล่าวอาจกระตุ้นให้เกิดเงินเฟ้อ, ชะลอการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) และส่งผลกระทบต่อการเติบโตของเศรษฐกิจโลก

ขณะที่ข้อมูลจาก FedWatch ของ CME Group บ่งชี้ว่า บรรดาเทรดคาดว่า เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.25% ในการประชุมเดือนธ.ค.นี้ แต่คาดว่าเฟดจะหยุดการปรับลดอัตราดอกเบี้ยในเดือนม.ค.

Back to top button