พาราสาวะถี

บ่ายวันนี้ (11 ธันวาคม) ทักษิณ ชินวัตร ขึ้นเวทีปราศรัย ช่วย กานต์ กัลป์ตินันท์ ผู้สมัครนายก อบจ.อุบลราชธานีหาเสียง


บ่ายวันนี้ (11 ธันวาคม) ทักษิณ ชินวัตร ขึ้นเวทีปราศรัย ช่วย กานต์ กัลป์ตินันท์ ผู้สมัครนายก อบจ.อุบลราชธานีหาเสียง โดยจะพบปะแกนนำและขึ้นปราศรัยที่อาคารเฉลิมพระเกียรติ 7 รอบ พระชนมพรรษา มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี มีการเตรียมเก้าอี้ไว้รองรับคนจำนวน 4 พันคน ทั้งนี้ มีการเปิดเผยว่า ความจริงประชาชนจาก 25 อำเภอ เตรียมที่จะมาพบอดีตนายกรัฐมนตรีจำนวนมาก แต่สถานที่ไม่อำนวยจึงจัดสรรกันได้เท่านี้ แค่นี้ก็เรียกว่าสร้างความมั่นใจให้กับผู้สมัครได้มากโขแล้ว

คล้อยหลังผู้พ่อไปช่วยลูกพรรคหาเสียง วันถัดมาหัวหน้าพรรคเพื่อไทย แพทองธาร ชินวัตร กับหัวโขนนายกฯ หญิง จะนำคณะรัฐมนตรีแถลงผลงานของรัฐบาลในรอบ 3 เดือนที่ห้องประชุมใหญ่ สถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทย หรือ NBT ถนนวิภาวดีรังสิต งานนี้มีหัวหน้าส่วนราชการระดับกระทรวง ระดับกรม ผู้ว่าราชการทุกจังหวัด ผู้บัญชาการเหล่าทัพ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ หัวหน้ารัฐวิสาหกิจ ผู้บริหารองค์การมหาชน และสื่อมวลชนเข้าร่วมงาน กว่า 500 คน

ไม่เพียงแต่จะบอกกล่าวกับสังคมว่าที่ผ่านมา ตนและรัฐบาลพลิกขั้วได้ทำอะไรไปแล้วบ้าง ยังจะมีการมอบนโยบายบริหารราชการแผ่นดินด้วย ซึ่งจะเป็นการฉายภาพ สร้างความหวังให้กับประชาชนด้วย ตามหัวข้อที่ได้วางไว้ “2568 โอกาสไทย ทำได้จริง 2025 Empowering Thais: A Real Possibility จากผลงานที่เป็นรูปธรรม สู่อนาคตที่ทำได้จริง” รอดูว่าจะมีการขายฝันอะไร สร้างความฮือฮาอีกหรือไม่ ในวันเดียวกันนี้ บอร์ดไตรภาคีก็มีนัดที่จะถกเรื่องค่าแรงขั้นต่ำ 400 บาททั่วประเทศด้วยเหมือนกัน

จะเห็นได้ว่าตั้งแต่รัฐบาล เศรษฐา ทวีสิน ต่อเนื่องมาถึงแพทองธาร นโยบายเรือธงของเพื่อไทยไม่สามารถขับเคลื่อนได้ทันที ตามที่ได้ประกาศไว้ ปัญหาใหญ่คือไม่ได้เป็นรัฐบาลพรรคเดียวหรือยึดกุมเสียงข้างมากจนทำให้พรรคที่ดึงมาร่วมต้องเกรงใจ เมื่อจำเป็นที่ต้องใช้จมูกคนอื่นมาช่วยหายใจ หลายเรื่องจึงจำเป็นต้องผ่านความเห็นชอบโดยพร้อมเพรียงกัน ขณะเดียวกัน บรรดาฝ่ายจ้องจะค้านก็หาแง่มุมมาทำให้ชักช้า เหมือนโครงการดิจิทัลวอลเล็ต

จากที่จะแจกหมื่นบาทรวดเดียว ล็อตใหญ่ เพื่อหวังสร้างพายุหมุนกระตุ้นเศรษฐกิจ กลายเป็นเบี้ยหัวแตก เริ่มแจกจากกลุ่มเปราะบางและผู้พิการ ขยับจะเดินต่อเฟสสองในกลุ่มสูงวัย 60 ปีขึ้นไป ก็ยังมีอันต้องชะงัก เป็นการสะท้อนให้เห็นว่า แนวทางประชานิยมในยุคทักษิณนั้น ภายใต้รัฐธรรมนูญเผด็จการสืบทอดอำนาจไม่อาจขยับได้ตามต้องการ โจทย์แบบนี้เหมือนที่นายใหญ่ออกตัวสภาพปัญหาในอดีต วิธีการแก้ไขไม่ใช่สูตรสำเร็จตายตัว บางอย่างใช้รูปแบบเดิมไม่ได้ผล

ตอนนี้ที่กำลังกลายเป็นตำบลกระสุนตกคงหนีไม่พ้นปมการชงร่างพระราชบัญญัติจัดระเบียบราชการกระทรวงกลาโหม (ฉบับที่…) พ.ศ.… ที่เสนอโดย ประยุทธ์ ศิริพาณิชย์ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย และคณะ ตามเป้าหมายที่ว่าต้องการสกัดการปฏิวัติรัฐประหาร จะให้รัฐบาลมีอำนาจเข้าไปยุ่งกับเรื่องการแต่งตั้ง โยกย้ายนายพล เล่นของร้อนย่อมเกิดกระแสต้านเป็นธรรมดา ถ้าจำกันได้คนหัวเขียงรายนี้ก็คือผู้ที่ดันร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมสุดซอยจนเป็นต้นตอให้รัฐบาล ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร พังพาบมาแล้วนั่นเอง

จึงไม่แปลกที่ “บิ๊กอ้วน” ภูมิธรรม เวชยชัย ในฐานะรองนายกฯ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมจะตีกรรเชียง ชี้ว่าการเสนอร่างกฎหมายดังกล่าวเป็นสิทธิและความเห็นของ สส. ไม่เกี่ยวข้องกับพรรคเพื่อไทยในฐานะแกนนำรัฐบาล เพราะเรื่องนี้ อนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทยพูดชัดไม่เห็นด้วยที่จะไปแตะ ข้ออ้างเรื่องการป้องกันรัฐประหารยิ่งไม่สมเหตุสมผล เพราะถ้าจะสกัดการปฏิวัติ ก็ไม่เกี่ยวข้องกับนักการเมือง เพราะนักการเมืองก็คือนักการเมือง ต้องทำหน้าที่ให้ดี ทำด้วยความซื่อสัตย์สุจริต รักษาความสงบ และอย่าให้แตกความสามัคคี

ถูกของเสี่ยหนู ความจริงเงื่อนไขการปฏิวัติมีอยู่แค่ไม่กี่เงื่อนไข ส่วนใหญ่มาจากนักการเมืองทั้งนั้น หากฝ่ายกุมอำนาจไม่ไปเข้าเงื่อนไขเหล่านั้น มันก็ปฏิวัติไม่ได้ การออกกฎหมายในลักษณะนี้ถ้าจะยึดอำนาจกันจริงถามว่าป้องกันได้อย่างนั้นหรือ ขนาดรัฐธรรมนูญยังถูกฉีกทิ้ง นับประสาอะไรกับกฎหมายอื่น ความพยายามที่จะทำจึงเป็นแค่สัญลักษณ์ บังคับใช้อะไรไม่ได้ ตามที่อนุทินว่าดีที่สุดต้องทำตัวให้ดี ต้องซื่อสัตย์สุจริต อย่าขี้โกง อย่าไปยุแยงให้ใครแตกสามัคคี อย่าไปลงถนนจนเกิดความไม่สงบเรียบร้อย ก็มีอยู่แค่นี้

การที่กล้าประกาศความชัดเจนเช่นนี้ เท่ากับเป็นการส่งสัญญาณเตือนกลับไปยังพรรคเพื่อไทยด้วยความหวังดีนั่นเอง อย่าดันทุรังในเรื่องที่ไม่สำคัญ วันนี้ปัญหาปากท้องของประชาชน ภาวะเศรษฐกิจที่จะต้องเร่งแก้ไขคือความจำเป็นเร่งด่วน ประเด็นไหนไม่สำคัญก็ไม่ต้องไปแตะ รู้กันอยู่กฎหมายทุกฉบับท้ายสุดก็ต้องไปผ่านมือ สว. ถ้าหัวหน้าพรรคสีน้ำเงินแสดงท่าทีแบบนี้ ถามว่าด่านสุดท้ายจะผ่านได้หรือไม่ แนวโน้มคงเป็นเพียงแค่การได้เสนอ แล้วไปถูกตีตกในที่ประชุมสภาฯ

ขณะที่ความเคลื่อนไหวของ สนธิ ลิ้มทองกุล ที่ไปยื่นร้องเรียนผ่านศูนย์รับเรื่องราวร้องทุกข์ ทำเนียบรัฐบาล โดยมี สมคิด เชื้อคง รองเลขาธิการนายกฯ ฝ่ายการเมืองเป็นผู้รับหนังสือ กรณีให้ยกเลิกเอ็มโอยู 44 มีการขีดเส้นตายต้องได้คำตอบภายใน 15 วันนั้น เป็นเพียงพิธีกรรม เห็นคนที่รายล้อมไปร่วมขบวนด้วยแล้ว แทบไม่ต้องสืบว่า เป็นความตั้งใจของอดีตหัวขบวนระบอบสนธิ-จำลองอย่างแท้จริง หรือมีเบื้องลึกเบื้องหลังอะไร

ล้วนแล้วแต่เป็นพวกที่ได้รับการดูแลอย่างดีจากคนที่ต้องการเป็นใหญ่ทั้งนั้น ปุจฉาสั้น ๆ ง่าย ๆ สำหรับเรื่องเอ็มโอยู 44 คือ มีการเจรจา ตกลงในเรื่องผลประโยชน์จากพื้นที่อ้างสิทธิแล้วหรือยัง ยังไม่ได้เริ่มอะไรเลย เหมือนที่ภูมิธรรมว่าเมื่อสื่อถามจึงเกิดความข้องใจแสดงว่าจะมีอะไรกับประเทศ และผลที่เกิดกับประเทศก็จะไม่ดีต่อความเชื่อมั่น ความมั่นคงที่ทุกฝ่ายจะฟื้นเศรษฐกิจไม่มี ดังนั้น อย่าเพิ่งตั้งอะไรที่เกินเลย อยากให้ข้อเท็จจริงเกิด แล้วถามความเห็นต่อข้อเท็จจริงนั้นน่าจะดีที่สุด บ้านเมืองชิบหายจนต้องตามล้างตามเช็ดกันอยู่เวลานี้ ก็มาจากพวกที่พูดเรื่องเท็จจนคิดว่าเป็นเรื่องจริงนั่นเอง

อรชุน

Back to top button