เสี่ยเจริญ(อีกแล้ว)…ครับท่าน

หลังจากลุ้นกันมาว่าใครจะเป็นผู้ได้สิทธิ์เป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ และกุมอำนาจบริหารบริษัทค้าปลีกโมเดิร์นเทรดชื่อดัง บริษัท บิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BIGC ต่อจากผู้ถือหุ้นใหญ่เดิม กลุ่ม คาสิโน กุยชาร์-แปร์ราชง ที่ถือในนามของบริษัทย่อย Géant International BV


หลังจากลุ้นกันมาว่าใครจะเป็นผู้ได้สิทธิ์เป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ และกุมอำนาจบริหารบริษัทค้าปลีกโมเดิร์นเทรดชื่อดัง บริษัท บิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์  จำกัด (มหาชน) หรือ BIGC ต่อจากผู้ถือหุ้นใหญ่เดิม กลุ่ม คาสิโน กุยชาร์-แปร์ราชง ที่ถือในนามของบริษัทย่อย Géant International BV

ผลลัพธ์ออกมาแล้ว เมื่อวันตรุษจีนที่ผ่านมา ว่า กล่มคาสิโนฯ ตัดสินใจขายหุ้นที่ถือใน BIGC 58% ให้กับบริษัท ทีซีซี คอร์ปอเรชั่น จำกัด ของเสี่ยเจริญ สิริวัฒนภักดี เฉือนกลุ่มจิราธิวัฒน์หรือเซ็นทรัลกรุ๊ป ไปได้หวุดหวิด

ไม่ต้องเดาให้งุนงง เช้าวานนี้ ทางด้านผู้บริหารของ BIGC ก็เลยชี้แจงต่อตลาดหลักทรัพย์ฯว่า ได้รับแจ้งจากกลุ่มคาสิโนว่า Géant International BV ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของBIGC ได้เข้าทำสัญญาขายหุ้น BIGC ให้กับบริษัท ทีซีซี คอร์ปอเรชั่น จำกัด (TCC) บริษัทในกลุ่มของนายเจริญ สิริวัฒนภักดี เป็นการซื้อและขายหุ้นทั้งหมดทั้งทางตรงและทางอ้อมรวมทั้งสิ้น 483,077,600 หุ้น คิดเป็นจำนวน 58.56% ของหุ้นที่ออกแล้วทั้งหมดของบริษัท ในราคาหุ้นละประมาณ 252.88 บาท คิดเป็นมูลค่ากว่า 1.22 แสนล้านบาท        

 ทั้งนี้  กลุ่มคาสิโน จะขายหุ้นทั้งหมด 100% ในบริษัท เสาวนีย์โฮลดิ้งส์ จำกัด ให้แก่ผู้ซื้อ ขณะที่เสาวนีย์ ถือหุ้นอยู่ใน BIGC จำนวน 218,280,000 หุ้น คิดเป็นจำนวน 26.46% ของหุ้นที่ออกแล้วทั้งหมดของบริษัท

เงื่อนไขต่อเนื่องคือ ราคาหุ้น BIGC ที่จะเสนอขาย อาจปรับลงตามจำนวนเงินปันผล ซึ่งผู้ขายอาจได้รับจากบริษัทตามมติที่ประชุมสามัญประจำปี 2559

ข่าวอย่างนี้ ไม่ต้องคาดเดาว่าจะเกิดอะไรขึ้น เพราะราคาหุ้นของ BIGC ปรับขึ้น 9.69% มาปิดตลาดที่ 249 บาท เพิ่มขึ้น 22 บาท จากราคาเมื่อปิดตลาดวันศุกร์

ส่วนหุ้นของเครือเสี่ยเจริญอย่าง หุ้นบริษัท เบอร์ลี่ ยุคเกอร์ จำกัด(มหาชน) หรือ BJC  ราคาก็ปรับขึ้น  15.15% มาอยู่ที่ 38 บาท เพิ่มขึ้น 5 บาทเทียบกับราคาปิดตลาดวันศุกร์เช่นกัน เพราะนักลงทุนรู้ดีว่า หลังจากดีลซื้อขายจบลง BIGC จะต้องถูกโอนย้ายมาเป็นส่วนหนึ่งใต้ร่มของ BJC ต่อไป…ตามสูตรตั้วเสี่ย ไม่เป็นอย่างอื่น เว้นแต่มีเหตุปัจจัยนอกเหนือการควบคุม

ราคาหุ้นที่วิ่งขึ้นชนิดเกือบเต็มเพดานของ BIGC และราคาที่พุ่งแรงทั้งที่ขาดสภาพคล่องของ BJC ก็ส่งสัญญาณชัดว่านักลงทุนไทยคิดอย่างไร

เช่นกันนักวิเคราะห์แห่งสำนักโบรกเกอร์ ต่างพากันทำตัวเป็นเสือปืนไว วิเคราะห์ทันควัน บอกว่า การซื้อกิจการของเสี่ยเจริญ จะทำให้เกิดพลังผนึกเชิงบวกที่ดีมากระหว่างBIGC (ค้าปลีก) และBJC (ผลิตและค้าส่ง) …เชียร์กันอย่างนี้ ไม่มีวันน่าเกลียด

อย่างที่รู้กันดี BJC เคยประกาศมานานแล้วว่า ต้องการเติบโตทางลัดในธุรกิจค้าปลีกรวมทั้งไฮเปอร์มาร์เก็ต โดยหวังว่าจะช่วยสร้างความแข็งแกร่งให้แก่ธุรกิจ 

ปีก่อน BJC เคยพยายามจะเข้าซื้อกิจการค้าปลีก METRO VN ของกลุ่มเยอรมันที่คิดจะถอนตัวออก แต่ดีลล่มเสียก่อน แถมยังรุกทำธุรกิจหลายอย่างเช่น รุกธุรกิจ Cloud โดยเปิดธุรกิจบริการ Cloud และบริการอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง

นอกจากนั้น ก็ไม่เคยปิดบังว่ามีแผนเข้าซื้อกิจการอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจหลักในกลุ่มประเทศ CLMV ซึ่งอยู่ระหว่างเจรจซื้อกิจการราว 10 ดีล ซึ่งบริษัทมีความพร้อม เนื่องจากมี D/E Ratio อยู่ในระดับต่ำ และมีฐานทุนกว่า 2 หมื่นล้านบาท บวกกับมีต้นทุนทางการเงินที่ต่ำ

แต่งานนี้ BJC ยังไม่เกี่ยวข้องโดยตรง เพราะตามสูตรซื้อกิจการของเสี่ยเจริญนั้น เป็นที่รู้กันว่า ต้องใช้ นอมินีซื้อก่อน เพื่อจะไม่ต้องรายงานตลาดให้ยุ่งยาก จากนั้นก็จัดการแต่งเนื้อแต่งตัวโอนเข้ามาในภายหลังด้วยวิศวกรรมการเงินเหนือชั้น

นักลงทุนระดับแมงเม่าจำนวนหนึ่ง ไม่คิดมาก ..แค่บอกว่าหุ้นเสี่ยเจริญเท่านั้น ก็กระโดดเข้าไปยิ่งกว่าเสือโหยอีก …เพราะเชื่อในคำอ้างอิงว่า “หุ้นเสี่ยเจริญ” ไม่เคยร่วงลงระหว่างทำดีลซื้อกิจการ..เสี่ยเจริญซะอย่าง

ไม่เชื่อก็ดูรายชื่อเหยื่อของเสี่ยเจริญดูก็ได้ ในตารางประกอบหลังจากดีลจบแล้ว ผลประกอบการต่อไปจะเป็นอย่างไร…อิ อิ อิ …ต้องทำการบ้านกันเอง

คำถามคือเสี่ยเจริญเอาเงินมาจากไหนเยอะแยะ…เพราะ 2 ปีที่ผ่านมาก็ทุ่มเงินมากกว่า 2 แสนล้านบาท ซื้อกิจการของ F&N ในสิงคโปร์ ที่ราคาซื้อขายทำเอาวงการเงินสะท้านมาแล้วว่า ซื้อไปได้อย่างไร…เพราะไม่รู้ว่าเสี่ยเจริญนั้น ใหญ่โตแค่ไหน…5555

แถมตอนที่ซื้อกิจการของ SSC หรือ เสริมสุข จำกัด(มหาชน) ก็ซื้อซะแพงลิ่ว …

คำตอบง่ายๆคือ…เชื่อฝีมือวิศวกรรมการเงินระดับ high financing ของคนรอบข้างเสี่ยเจริญกันเถอะ.. ล้วนเป็นอดีตผู้บริหารกิจการยักษ์ใหญ่มาแล้วทั้งนั้น…เซียนเหยียบเมฆกันทั้งน้านนนนน

เอากันว่า เจ้าหนี้ที่รอปล่อยกู้จาก bridge loan…และได้ค่าต๋งจากการเป็นที่ปรึกษาการเงินทำดีลให้จบ..เริงร่ากันทั่วหน้า

สิ่งที่แน่นอนก็คือ…หลังจากดีลจบก็ต้องมี เทนเดอร์ออฟเฟอร์ กัน…เพราะอย่างที่รู้กัน สไตล์เสี่ยเจริญ ชอบซื้อและเข้าถือหุ้นในสัดส่วนเกิน 80-95% ไม่ชอบต่ำกว่านั้น…รวบหุ้นให้เกือบหมด ทำให้หุ้นมีสภาพคล่องต่ำในตลาด …แต่ราคาวูบวาบง่ายดาย

คอยดูก็แล้วกันว่า สูตรนี้ จะยังคงใช้ได้หรือไม่…ถ้าใช่ เสี่ยเจริญตัวจริง เสียงจริง …นะจ๊ะ

ไม่ใช่ใครอื่น

Back to top button