มอง SET ผันผวน รอลุ้นเม็ดเงินกองทุนประหยัดภาษีและจับตานโยบายการค้าสหรัฐ
InnovestX วิเคราะห์ว่า เงินเฟ้อสหรัฐฯ ใน พ.ย. ที่สูงขึ้น เป็นผลจากปัจจัยต้นทุน เป็นหลัก โดยเฉพาะองค์ประกอบด้านอาหารและการขนส่งที่เพิ่มขึ้น
InnovestX วิเคราะห์ว่า เงินเฟ้อสหรัฐฯ ในเดือน พ.ย. ที่สูงขึ้นนั้น เป็นผลจากปัจจัยต้นทุน (Cost-push) เป็นหลัก โดยเฉพาะองค์ประกอบด้านอาหารและการขนส่งที่เพิ่มขึ้นจาก 0.26% (p.p.) เป็น 0.40% (p.p.) จากฐานราคาน้ำมันสำเร็จรูปปี 2023 ที่ลดลงมาอยู่ที่ประมาณ 3.4 ดอลลาร์ต่อแกลลอน จาก 3.6 ดอลลาร์ในเดือนก่อน แม้ราคาน้ำมันในปีนี้จะลดลงต่อเนื่องมาอยู่ที่ 3.2 ดอลลาร์ก็ตาม
ขณะที่ราคาสินค้ารายเดือนหลายชนิดเริ่มเพิ่มขึ้น เช่น เฟอร์นิเจอร์ เสื้อผ้า ค่าห้องพักโรงแรม ราคาอาหารในซูเปอร์มาร์เก็ต แต่ปัจจัยบวกสำคัญได้แก่เงินเฟ้อจากราคาบ้านที่ลดลงสู่ 1.88% (p.p) ตามค่าเช่าที่อยู่อาศัยเพิ่มขึ้นเพียง 0.2% ซึ่งเป็นอัตราต่ำสุดนับตั้งแต่ปี 2021 ขณะที่เงินเฟ้อจากค่าจ้างและองค์ประกอบอื่นเพิ่มขึ้นเล็กน้อย เราจึงยังคงมองว่า Fed สามารถลดดอกเบี้ยได้ในเดือน ธ.ค. แต่ในระยะต่อไป จะเริ่มลดทอนการลดดอกเบี้ยลง
ด้านการประกาศมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งใหญ่ในปีหน้าของรัฐบาลจีนนั้น InnovestX มองว่าเพื่อตอบโจทย์เร่งด่วน 2 ประการ คือ (1) สัญญาณอุปสงค์ภายในประเทศอ่อนแอต่อเนื่อง สะท้อนจากเงินเฟ้อผู้บริโภคต่ำและเงินเฟ้อผู้ผลิตที่ติดลบต่อเนื่อง 26 เดือน ขณะที่ตลาดอสังหาริมทรัพย์ซบเซาลง บ่งชี้มาตรการกระตุ้นเดิมมีผลจำกัด (2) เป็นการเตรียมความพร้อมรับมือกับความไม่แน่นอนจากนโยบายของทรัมป์ที่อาจกลับมาเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ อีกครั้ง โดยจีนพยายามสร้างภูมิคุ้มกันให้เศรษฐกิจผ่านการกระตุ้นอุปสงค์ภายในและเสริมความแข็งแกร่งของตลาดทุน เพื่อลดการพึ่งพาการส่งออกและเตรียมรับมือกับสงครามการค้าที่อาจรุนแรงขึ้นในอนาคต
ส่วนตลาดหุ้นไทย InnovestX มองช่วงสั้น SET จะแกว่งตัวผันผวน โดยมีแนวรับที่บริเวณ 1440-1450 จุด ทั้งนี้ Upside ของตลาดขึ้นกับแนวโน้มเศรษฐกิจจีน และการปรับลดดอกเบี้ยของ FED ด้านตลาดหุ้นไทยติดตามการประชุม กนง. ที่ตลาดคาดจะคงดอกเบี้ยเป็นปัจจัยกดดันตลาดในระยะสั้น อย่างไรก็ดีหาก กนง. ปรับลดดอกเบี้ยจะส่งผลให้ SET Index ปรับตัวขึ้นได้ราว 15-20 จุด รวมถึงการเข้าสู่โค้งสุดท้ายของการซื้อกองทุนประหยัดภาษีที่มักเร่งตัวขึ้นในช่วงปลายปี ขณะที่ยังต้องติดตามนโยบายกีดกันทางการค้าของสหรัฐฯ และการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก กลยุทธ์ลงทุนจึงแนะนำให้ “Selective Buy” ใน 3 ธีมหลักที่มีปัจจัยบวกเฉพาะตัว และ 1 ธีมเทรดดิ้งระยะสั้น ดังนี้
- หุ้นที่คาดได้อานิสงส์จากการเป็นเป้าหมายสะสมของกองทุนวายุภักษ์และกองทุนที่ได้สิทธิประโยชน์ทางภาษีช่วงปลายปี อาทิ SSF และ RMF แนะนำลงทุนในหุ้น SET100 ซึ่งมีคุณสมบัติ คือ 1) จ่ายเงินปันผลดีและสม่ำเสมอ โดยให้ Div. Yield ขั้นต่ำปีละ 3% 2) เราให้คำแนะนำ Outperform และมี ESG Rating สูงตั้งแต่ระดับ AA-AAA และ CG ระดับ 5 ดาว และ 3) มีฐานะการเงินแข็งแกร่ง และผลประกอบการมีความมั่นคงหรือมีแนวโน้มเติบโตได้ในปี 2025 ได้แก่ ADVANC, AP, BBL, BDMS, HMPRO, PTT, SIRI, TOP และ WHA
- หุ้นที่คาดได้อานิสงส์บวกจากรัฐเตรียมออกมาตรการกระตุ้นการบริโภคและท่องเที่ยวเพิ่มเติมในช่วงส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ แนะนำ กลุ่มพาณิชย์ (CPALL, CPAXT, CRC, HMPRO, TNP) และกลุ่มท่องเที่ยว (AWC, AOT, MINT)
- หุ้น Earning Play ซึ่งมองมีโมเมนตัมกำไรไตรมาส 4/67 จะเติบโตดี YoY และ QoQ อีกทั้งเราแนะนำ Outperform เลือก GULF, OSP, AMATA, AU, TIDLOR และ BCP
- Trading Idea : นักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้สูงอาจเก็งกำไรหุ้นที่คาดได้อานิสงส์ดอกเบี้ยขาลง แนะนำ 1) หุ้นกลุ่ม Reits (LHHOTEL, DIF) ซึ่งได้อานิสงส์บวกภายใต้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรกำลังจะเปลี่ยนเป็นทิศทางเป็นขาลง 2) หุ้นกลุ่มค้าปลีก (CPALL) ซึ่งได้อานิสงส์จากประชาชนมีอำนาจซื้อเพิ่มขึ้น (ดอกเบี้ยเงินกู้ลดลง) และ 3) หุ้นธนาคาร (TISCO, KKP) เพราะมีสัดส่วนของสินเชื่อเช่าซื้อสูง ซึ่งมีอัตราดอกเบี้ยคงที่/ หุ้น Laggard ซึ่งมีเทคนิคมีแนวโน้มฟื้นตัว แนะนำ BEM, BDMS, MINT และ AP
สุกิจ อุดมศิริกุล
มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของจีนที่เตรียมออกในปี 2025
มาตรการ | |
1 | เพิ่มการขาดดุลงบประมาณเป็น 4% ของ GDP สูงสุดในรอบ 30 ปี |
2 | ลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 40-60 basis points |
3 | ลดสัดส่วนเงินสำรองขั้นต่ำของธนาคารถึง 250 basis points |
4 | เตรียมออกพันธบัตรพิเศษสำหรับโครงการโครงสร้างพื้นฐานและโครงการเชิงยุทธศาสตร์ |
5 | พิจารณาจัดตั้งกองทุนเสถียรภาพตลาดหุ้นและมาตรการสนับสนุนตลาดอสังหาริมทรัพย์ |
Source : Bloomberg, INVX